สธ.สั่งเฝ้าระวังไวรัสตัวใหม่คล้าย“ซาร์ส”
ภาพจากแนวหน้า
จากกรณีที่องค์การอนามัยโลก หรือ ฮู (WHO) ได้แถลงผ่านเว็บไซต์เมื่อวันที่ 23 กันยายน ที่ผ่านมา หลังได้รับรายงานจากองค์การสาธารณสุขแห่งประเทศอังกฤษ พบผู้ป่วยชาย 1 ราย เป็นชาวกาตาร์ อายุ 49 ปี ป่วยด้วยอาการโรคทางเดินหายใจเฉียบพลัน และไตวาย โดยผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ยืนยันเป็นเชื้อไวรัสในตระกูลโคโรนาไวรัส
ซึ่งเป็นเชื้อตระกูลเดียวกับเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือ โรคซาร์ส โดยเชื้อที่พบในผู้ป่วยรายนี้ เหมือนกับเชื้อที่ตรวจพบในผู้ป่วยชาวซาอุดีอาระเบียวัย 60 ปี ที่เสียชีวิตมาก่อนหน้านี้
เมื่อวันที่ 25 ก.ย. นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แจ้งเตือนหน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศ ด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ และด่านควบคุมโรคตามแนวชายแดน ให้เฝ้าระวังผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเฉียบพลัน เช่น โรคปอดบวม พร้อมแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสตัวใหม่แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาให้รับทราบ และให้สำนักระบาดวิทยา สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค ติดตามประสานความคืบหน้าข้อมูลของเชื้อชนิดนี้กับองค์การอนามัยโลกอย่างใกล้ชิด
ด้านนพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรคเปิดเผยว่า เชื้อโคโรนาไวรัส (Coronavirus) เป็นตระกูลใหญ่ของไวรัส ซึ่งรวมทั้งเชื้อไข้หวัดทั่วไป (Common cold) และโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือ โรคซาร์ส (SARS: Severe Acute Respiratory Syndrome) ซึ่งพบการระบาดปี 2546 ซึ่งขณะนั้นประเทศไทยพบผู้ป่วยยืนยัน 1 ราย แต่เป็นผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และไม่มีการระบาดในประเทศ
สำหรับการตรวจพบเชื้อครั้งนี้ ถือเป็นความรวดเร็วของระบบการเฝ้าระวัง จากการประสานงานองค์การอนามัยโลกเบื้องต้น ขณะนี้ยังไม่มีการห้ามการเดินทางระหว่างประเทศแต่อย่างใด ยังสามารถเดินทางได้ตามปกติ แต่ขอให้ปฏิบัติตัวดูแลสุขอนามัยตนเอง โดยหมั่นล้างมือฟอกสบู่บ่อยๆ หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด ไม่คลุกคลีกับคนป่วยเป็นไข้หวัด หากมีอาการไอจาม เป็นหวัดให้ใส่ผ้าปิดปากปิดจมูก เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปติดคนอื่น ส่วนผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ หากมีอาการป่วยเหมือนไข้หวัด และหลังนอนพัก 2 วันแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น ไข้ไม่ลดลง ขอให้พบแพทย์และแจ้งประวัติการเดินทางแก่แพทย์ด้วย
ทั้งนี้ จากการติดตามผู้ที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับผู้ป่วยทั้ง 2 รายนั้น ทั้งญาติที่ใกล้ชิด และเจ้าหน้าที่ที่ดูแลผู้ป่วย ยังไม่มีใครติดเชื้อจากผู้ป่วย จึงไม่อยากให้คนไทยตื่นตระหนก ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องตรวจคัดกรองโรคที่สนามบินแต่จะติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด