บริษัทอาหารซุ่มคิดสูตรไดเอ็ต - จำลองกลไกสั่งสมองว่าท้องอิ่ม
ไม่ต้องทำแบบนี้อีกต่อไปโดย ผู้จัดการออนไลน์ 23 กุมภาพันธ์ 2549 10:07 น.
ดิ ออสเตรเลียน - ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่คาดหวังว่า จะทำให้คนที่กำลังควบคุมน้ำหนักอยู่รอดตลอดทั้งวันด้วยบิสกิตหนึ่งชิ้นหรือมิลค์เช็คแก้วเดียว เห็นทีจะล้าสมัยไปเสียแล้ว เพราะขณะนี้บรรดาผู้ผลิตกำลังตั้งหน้าตั้งตาทดลองอาหารเพื่อการไดเอ็ตรุ่นใหม่ ที่จะหลอกให้ผู้บริโภคเชื่อว่าตัวเองอิ่มแล้ว
บริษัทอย่างยูนิลีเวอร์, คราฟต์ และดานอน กำลังทดสอบไฟเบอร์และสตาร์ชชนิดพิเศษเพื่อนำมาใช้กับอาหารประจำวัน และทำให้คนกินรู้สึกอิ่มท้องทั้งที่ไม่ได้อิ่มจริงๆ
เทคโนโลยีใหม่นี้จะจัดการกับปัญหาอันดับ 1 ของผู้ที่กำลังควบคุมอาหาร นั่นคือความหิวโหย ได้อย่างชะงัดนัก
ทั้งนี้ ดานอน บริษัทอาหารจากฝรั่งเศส กำลังคร่ำเคร่งกับไฟเบอร์ชนิดพิเศษที่ช่วยชะลออัตราความเร็วของการเดินทางของอาหารผ่านเข้าสู่ระบบย่อย ทำให้น้ำย่อยคงอยู่ในกระเพาะนานขึ้น ซึ่งหมายถึงว่าบุคคลๆ นั้นจะรู้สึกอิ่มท้องนานขึ้นด้วยเช่นกัน
ส่วนคราฟต์กำลังพัฒนาสตาร์ชที่ทนทานต่อการย่อยสลายในร่างกาย ปกติแล้ว สตาร์ชจะมีพฤติกรรมเหมือนน้ำตาล แต่ในเวอร์ชั่นของคราฟต์จะเหมือนไฟเบอร์มากกว่า ทำให้ใช้เวลาในการย่อยนาน แต่ไม่ทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดพุ่งปรี๊ด
ด้านยูนิลีเวอร์กำลังจดจ่อกับเทคโนโลยีที่จำลองมาจากกลไกการทำงานของส่วนปลายลำไส้เล็ก กล่าวคือไขมันจะเข้าสู่บริเวณดังกล่าวเมื่อคนคนนั้น กินมากจนร่างกายย่อยไม่ทัน และอวัยวะส่วนที่ว่าส่งสัญญาณไปบอกสมองว่า อิ่มแล้ว
ยูนิลีเวอร์ค้นพบวิธีจำลองกลไกนี้ โดยระบุว่า เทคโนโลยีของบริษัทสามารถทำให้ร่างกายเชื่อว่า กินอาหารเข้าไป 2,100 กิโลจูล ทั้งที่ความจริงบริโภคเข้าไปเพียง 800 กิโลจูลเท่านั้น
นักโภชนาการ แคเทอรีน แซกเซลบี ชี้ว่าการรู้จักและเข้าใจถึงสิ่งที่ทำให้คนเรารู้สึกพอใจหรืออิ่ม เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการช่วยเหลือให้เรามีและสามารถรักษาน้ำหนักตัวในระดับที่ดีต่อร่างกายไว้ได้
เธอบอกอีกว่า ไม่แปลกใจที่บริษัทอาหารตัดสินใจโฟกัสแนวคิดนี้
ฟังเข้าท่า เพราะเราต่างกำลังคิดหาวิธีที่ทำให้ท้องอิ่มด้วยปริมาณอาหารน้อยลง
หนึ่งในผลิตภัณฑ์ไดเอ็ตที่เป็นที่นิยมระยะสั้นๆ เมื่อเร็วๆ นี้คือ ไกลซีเม็กซ์ อินเด็กซ์ (จีไอ)ที่มีกลไกการทำงานคล้ายกัน
จีไอ หรือดัชนีคาร์โบไฮเดรต จะจำแนกประเภทอาหารโดยพิจารณาจากผลกระทบต่อระดับกลูโคสในเลือด โดยอาหารที่มีจีไอสูงจะให้กำลังงานสูงภายในเวลาอันรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน ก็ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นเช่นเดียวกัน อันนำไปสู่ความเสี่ยงของโรคเบาหวานและโรคหัวใจ
ในทางกลับกัน อาหารที่จีไอต่ำจะให้กำลังงานช้าลงแต่คงอยู่นานกว่า
การชะลอการย่อยแบบนี้เองที่บริษัทอาหารพยายามจำลองมาใช้
แซกเซลบีเสริมว่า แม้ตัวเธอไม่ได้มีปัญหากับแนวคิดดังกล่าว แต่ก็เชื่อว่า คนเรายังต้องใส่ใจกับสารที่ส่งไปบอกสมองว่า อิ่มแล้ว
ขอเพียงแต่เราหยุดและฟังท้องของตัวเองเท่านั้นก็พอแล้ว