ด้านนายเล็งกล่าวทั้งน้ำตาว่า วันนี้ดีใจมากที่สุดที่ลูกได้กลับมาอยู่ในอ้อมกอด
หลังแม่ของบัวขาว นางปาน บัญชาเมฆ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อครั้งเดินทางกลับจากส่งบัวขาวไปประจำที่ค่ายมวย ป.ประมุข เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา อนาคตของบัวขาวต้องแล้วแต่เจ้าตัวว่าจะตัดสินใจทำอะไร ในฐานะพ่อเห็นดีด้วยทุกอย่าง เพราะบัวขาวโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ขณะที่นายทอง บุลากร อายุ 50 ปี ครูมวยคนแรกที่สอนบัวขาวในวัยเด็ก กล่าวว่า
ตนกับเพื่อนบ้านสอบถามและติดตามข่าวการหายตัวไปของบัวขาวโดยตลอด พอบัวขาวตัดสินใจกลับบ้านเกิดรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก บัวขาวน่าจะมีความสุขกับการได้ใช้ชีวิตอยู่กับญาติพี่น้องแม้จะเป็นสังคมชนบทก็ตาม
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าว "มติชน" โทรศัพท์ติดต่อไปยัง "อุ ป.ประมุข" นายธีรพัฒน์ โรจนตัณฑ์ ผู้จัดการค่าย
แต่ไม่มีผู้รับสาย จึงได้ติดต่อไปที่ "กำนันแก๊" นายประมุข โรจนตัณฑ์ เจ้าของค่าย และบิดาของ อุ ป.ประมุข ซึ่งทาง "กำนันแก๊" ให้สัมภาษณ์ว่า ตั้งใจจะยังไม่พูดอะไรกับสื่อในเวลานี้ เพราะที่ผ่านมารู้สึกว่า สื่อนำเสนอข่าวพุ่งเป้าโจมตีมาที่ค่าย ป.ประมุข โดยไม่ให้ความเป็นธรรม
ผู้สื่อข่าวถามว่า อนาคตของบัวขาวกับทางค่าย ชัดเจนหรือยังว่าจะยุติแบบใด และสัญญาของบัวขาวกับค่ายเหลืออยู่อีกกี่ปี "กำนันแก๊" ตอบว่า
ไม่รู้ว่าบัวขาวเหลือสัญญาอีกกี่ปี ส่วนอนาคตยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอายังไง เพราะทางค่ายทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากไม่สามารถติดต่อขอคุยกับบัวขาวได้ โทรศัพท์ไปกี่สายๆ บัวขาวก็ไม่รับ จนตอนนี้เลิกโทร.แล้ว เพราะบัวขาวบอกว่า ยังไม่พร้อมพูดคุยกับทางค่าย เลยไม่โทร.ไป รอเพียงว่าบัวขาวพร้อมมาคุยกันเมื่อไหร่ จึงจะรู้ว่าอนาคตยังจะมี "บัวขาว ป.ประมุข" อีกหรือไม่
"ผมไม่รู้เลยว่าบัวขาวกลับไปบ้านเกิดที่ จ.สุรินทร์ ผมคงไม่เดินทางไปหาบัวขาวที่สุรินทร์เพื่อพูดคุยกัน รอให้บัวขาวพร้อมแล้วมาคุยกัน ยอมรับว่าช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา เครียดมาก แต่ก็ยังไม่ได้คุยกับลูกชายว่าจะหาทางออกปัญหานี้ยังไง" กำนันแก๊กล่าว
นายประมุขกล่าวต่อว่า ทางค่ายยังไม่คิดจะเปิดแถลงข่าวในเวลานี้ แม้ว่าภาพลักษณ์ของค่าย ป.ประมุข จะโดนโจมตี
และติดลบไปพอสมควรก็ตาม โดยจะขอให้ได้พูดคุยกับเคลียร์ใจกับบัวขาวก่อน เพราะสถานการณ์เวลานี้ยังคงอึมครึม หากบัวขาวยืนยันขอยกเลิกสัญญากับค่าย ป.ประมุข จะตัดสินใจอย่างไร นายประมุขตอบว่า ยังไม่รู้ ต้องคุยกันก่อน
เมื่อถามว่า หากบัวขาวไม่กลับมาต่อยมวยหรือไปสังกัดค่ายอื่น การขาดบัวขาว จะส่งผลให้ค่าย ป.ประมุข สั่นคลอนหรือไม่ นายประมุขไม่ตอบและวางโทรศัพท์ทันที
ขณะที่ความเคลื่อนไหวการแข่งขันมวย "ไทยไฟต์ เมดอินไทยแลนด์ 2012" รอบเปิดตัว หรือรอบ "ซูเปอร์ไฟต์" ศึกไทยไฟต์ 2012 ฤดูกาลใหม่ ที่แหลมบาลีฮาย พัทยา จ.ชลบุรี วันที่ 17 เมษายนนี้ เดิมทีฝ่ายจัดการแข่งขันวางคิวให้ "บัวขาว ป.ประมุข" ขึ้นชกนั้น เป็นที่คาดกันว่า บัวขาวอาจไม่ได้ขึ้นชกในรายการดังกล่าว โดยนายนพพร วาทิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สปอร์ต อาร์ต จำกัด และประธานจัดไทยไฟต์ กล่าวว่า ไทยไฟต์เซ็นสัญญากับบัวขาว 1 ปี หลังจากคว้าแชมป์เมื่อปีก่อน ไม่ได้เซ็นกับค่าย ป.ประมุข สัญญาระบุว่าบัวขาวต้องขึ้นชกไทยไฟต์ทุกรายการ เฉพาะในเมืองไทย ความขัดแย้งระหว่างบัวขาวกับค่าย ป.ประมุข ยังแปลกใจอยู่ เพราะบัวขาวกับ อุ ป.ประมุข สนิทกันมาก แต่ยังเชื่อว่าสุดท้ายน่าจะพูดคุยเจรจากันได้และบัวขาวน่าจะกลับมาขึ้นสังเวียนอีกแน่นอน
นายนพพรกล่าวต่อว่า หากบัวขาวไม่มาชกไทยไฟต์ เมดอินไทยแลนด์ 2012 วันที่ 17 เมษายน หรือในห้วงสัญญาที่เหลืออยู่
เชื่อว่าจะไม่ส่งผลทำให้กระแสไทยไฟต์ลดน้อยลง เพราะนโยบายจริงๆ ของ ไทยไฟต์คือ เป็นเวทีแจ้งเกิดของนักมวยดาวรุ่ง โดยการชกในวันที่ 17 เมษายนนี้ ที่ทีมนักมวยไทย จะยกทีมปะทะนักมวยไทยจากหลายประเทศในทวีปยุโรป กรณีที่ไม่มี บัวขาว ป.ประมุข กับเข้ม ศิษย์สองพี่น้อง ขึ้นชกก็ยังมีนักมวยที่สไตล์ดุดัน น่าติดตามอีกอาทิ ไทรโยค พุ่มพันธ์ม่วง, อามีน ธ.พรานทักษิณ และโมเส ท.แสงเทียนน้อย จึงไม่มีปัญหาหากขาดบัวขาวไป
"ผมเข้าใจดี เหมือนกับวงการบันเทิงที่มีดาราหน้าใหม่แจ้งเกิดมามากมาย บัวขาวก็เหมือนกับ จา พนม ตอนมีเรื่องกับ สหมงคลฟิล์ม กรณีสัญญาระหว่างไทยไฟต์กับบัวขาว ไม่ใช่เรื่องซีเรียส เพราะผมไม่ได้ไปคิดว่าจะปรับเงินจากการผิดสัญญาแต่อย่างใด" นายนพพรกล่าวทิ้งท้าย