นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)
มีมติให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องยนต์เอ็นจีวี, ก๊าซแอลพีจีในภาคการขนส่ง, น้ำมันเบนซิน และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ เพื่อลดภาระของกองทุนน้ำมันฯ ที่ปัจจุบันมีภาระหนี้สิน 17,635 ล้านบาทจากการเข้าไปอุดหนุนราคาพลังงาน
ทั้งนี้มติการปรับลดเงินชดเชยและเก็บเงินเข้ากองทุนฯเพิ่มจะมีผลตั้งแต่วันที่ 16 กพ. เป็นต้นไป
โดยน้ำมันเบนซินและโซฮอล์จะนำเงินเข้ากองทุนฯ เพิ่ม 1 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันทั้งสองประเภทปรับเพิ่มอีก 1.07 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกเบนซิน 91 ปรับราคาไปอยู่ที่ 40.31 บาทต่อลิตร, โซฮอล์ 91 อยู่ที่ 37.28 บาทต่อลิตร และ โซฮอล์ 95 อยู่ที่ 39.03 บาทต่อลิตร
นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติปรับลดอัตราการอุดหนุนก๊าซเอ็นจีวี กิโลกรัมละ 50 สต.
จากปัจจุบันที่กองทุนน้ำมันฯ อุดหนุนอยู่ 1.50 บาทต่อกิโลกรัม ก็จะเหลือการอุดหนุนเพียง 1 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาปรับขึ้นไปอยู่ที่ 9.50 บาทต่อกิโลกรัม
พร้อมทั้งปรับเพิ่มเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯในส่วนของก๊าซแอลพีจีในภาคขนส่งอีก 75 สต. ต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาแอลพีจีภาคขนส่งเพิ่มจาก 18.83 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 19.58 บาทต่อกิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้น 41 สต. ต่อลิตร หรือเป็น 12.17 บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตามในส่วนของน้ำมันดีเซลยังไม่มีการปรับอัตราเงินนำเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มเติม โดยยังคงอัตราการจัดเก็บไว้ที่ 60 สต. ต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกของดีเซลไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
สำหรับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด(13 ก.พ.55) สุทธิติดลบอยู่ที่ 17,635 ล้านบาท
ซึ่งส่วนใหญ่มาจากภาระการชดเชยราคานำเข้าก๊าซแอลพีจีที่ขณะนี้ราคาในตลาดโลกสูงถึง 1,022 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องกู้เงินจากธนาคารกรุงไทยมาใช้เพิ่มสภาพคล่องไปแล้วถึง 2,250 ล้านบาท จากวงเงินกู้ตามมติ กพช.ที่เปิดไว้ 10,000 ล้านบาท
กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
กระทู้ล่าสุด
รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
