จากกรณีที่องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือนาซ่า ออกมาเตือนให้ชาวโลกเตรียมรับมือกับพายุสุริยะในช่วงสัปดาห์นี้
ว่าจะมีคลื่นกัมมันตรังสีและส่งผลให้การสื่อสารขัดข้องนั้น เมื่อวันที่ 25 ม.ค.ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา มีการตรวจพบว่าดวงอาทิตย์มีการปลดปล่อยมวลสารขนาดใหญ่ออกมาค่อนข้างจะรุนแรง และแพร่กระจายเป็นวงกว้าง ซึ่งจากภาพถ่ายที่จับภาพได้ พบว่าการเคลื่อนที่ของอนุภาคที่ปลดปล่อยออกมามีทิศทางมายังโลก ซึ่งจากการคำนวณความเร็วของอนุภาคดังกล่าว จะมาถึงโลกภายใน 3 วัน ซึ่งหมายความว่าได้มาถึงโลกแล้ว เมื่อคืนวันที่ 24 ม.ค. เวลาประมาณ 21.00น .ตามเวลาในประเทศไทย
ทั้งนี้กระแสความเร็วของอนุภาคดังกล่าวหรือที่เรียกว่าพายุสุริยะ เมื่อมาถึงโลกจะรบกวนสนามแม่เหล็กให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
รวมถึงทำให้เกิดออโรรา หรือปรากฏการณ์แสงเหนือ-แสงใต้ ที่มีแสงเรืองบนท้องฟ้าในเวลากลางคืน ได้นอกจากนี้หากกระแสของอนุภาคดังกล่าวกระทบกับดาวเทียมโดยตรง จะทำให้เกิดสัญญาณรบกวน ทำให้ดาวเทียมเสียหายหรือเข้าสู่โหมดการปิดตัวเองอัตโนมัติได้ ส่วนผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตนั้น ดร.สธน กล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยพบว่ามีปริมาณคาร์บอน 14 ที่เปลือกต้นไม้ที่มีอายุเป็น100 ปี แต่อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตราย นอกจากนี้ ผลกระทบส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบริเวณขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา นอร์เวย์ รัสเชีย อาร์เจนตินาและแอฟฟริกา ส่วนประเทศไทยโชคดีที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร มีสนามแม่เหล็กโลกปกป้องมากที่สุด ทำให้โอกาสเกิดผลกระทบจากปรากฎการณ์ดังกล่าวน้อยมาก
“อย่างไรก็ดี แม้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจะมีความรุนแรงมากในรอบ5 ปีที่ผ่านมา แต่เชื่อว่ากระทบกับประเทศไทยไม่มาก นอกจากด้านการสื่อสารผ่านดาวเทียม ที่คาดว่าทางผู้ให้บริการน่าจะเตรียมความพร้อมรองรับไว้แล้ว เพราะป้องกันได้โดยใช้ดาวเทียมสำรอง ทั้งนี้ในช่วง1-2 ปีที่ผ่านมา ดาวเทียมไทยคม 5 ก็เคยเจอกับปัญหาดังกล่าวทำให้การให้บริการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ต้องหยุดชะงักไปกว่า 1 ชั่วโมง ” ดร.สธน กล่าว
สำหรับพายุสุริยะ คือ กระแสของอนุภาคพลังงาน สูง ที่พัดมาจากดวงอาทิตย์ ด้วยปริมาณและความเร็วสูงกว่าระดับปกติ
อนุภาคนี้มีทั้งอิเล็กตรอนและโปรตอน เป็นตัวการทำให้เกิดแสงเหนือใต้ และพายุแม่เหล็ก ซึ่งส่งผลต่อดาวเทียม ยานอวกาศ และระบบสายส่งบนโลก เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา และจะมีระดับความรุนแรงผันแปรเป็นคาบ คาบละประมาณ 11 ปี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์กันว่าวัฎจักรดวงอาทิตย์หรือพายุสุริยะในคาบที่จะกำลังเกิดขึ้นนี้ จะอยู่ในช่วงปี 2012-2013.