สอท.เตือนภัยเศรษฐกิจปีนี้ รับมือต้นทุนกระฉูด พิษขึ้นค่าแรงแบบก้าวกระโดด ราคาผันผวน แต่ขึ้นราคาสินค้าไม่ได้ หวั่นลูกค้าหันซื้อจากคู่แข่งแทน เปิดแผนรัดเข็มขัด ไม่รับคนงานเพิ่ม-หันนำเข้าสินค้าจากจีน-ลดรับออเดอร์ ติงดีเซลมีสิทธิถึงลิตรละ 40 บาท
นายสมมาต ขุนเศษฐ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า
ส.อ.ท.อยู่ระหว่างจัดทำมาตรการเพื่อให้สมาชิกรับมือกับสัญญาณอันตรายของภาคอุตสาหกรรมไทยในปี 2555 เพราะเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะชะลอตัว แต่วัตถุดิบในการผลิตปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกันยังมีนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแบบก้าวกระโดด และราคาน้ำมันที่ผันผวนจนต้องติดตามอย่างใกล้ชิดจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่านที่สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง
นายสมมาตกล่าวว่า แม้ต้นทุนผลิตวัตถุดิบจะเพิ่มขึ้น
แต่ผู้ประกอบการไม่สามารถเจรจากับลูกค้าเพื่อขอปรับราคาสินค้าได้ เนื่องจากขณะนี้คำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ในภาพรวมยังไม่มาก ผลจากเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่ชะลอตัว คาดว่าหากขอขึ้นราคาลูกค้าจะหันไปสั่งออเดอร์สินค้าจากประเทศอื่นแน่นอน
สถานการณ์ความขัดแย้งของทั้งสองประเทศเริ่มตึงเครียด และประเทศอิหร่านไม่กลัวสหรัฐ
หากเป็นเช่นนี้เป็นห่วงว่าราคาน้ำมันก็จะพุ่งสูงจนกระทบต่อการดำเนินกิจการของภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก ล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มจากปีก่อนที่เฉลี่ยอยู่ในระดับ 90 ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ยอมรับว่าต้นทุนที่สูงขึ้นเช่นนี้จะทำให้ผู้ประกอบการหน้ามืด หากรับมือไม่ดีอาจสุ่มเสี่ยงต่อการขาดทุนจนปิดกิจการได้ นายสมมาตกล่าว
นายสมมาตกล่าวว่า ดังนั้นสิ่งที่ผู้ประกอบการทำได้ในเวลานี้ คือ ลดต้นทุนการผลิตด้านอื่นๆ หรือการรัดเข็มขัดอย่างเข้มงวด เร่งเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันทั้งในเรื่องของบุคลากร เพื่อให้ผลผลิตออกมาดีเหมือนเดิมแต่มีค่าใช้จ่ายน้อยลง
นายธนิต โสรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ด้วยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
คาดว่ามาตรการรัดเข็มขัดที่ภาคอุตสาหกรรมนำมาใช้ปีนี้ จะมีการออกนโยบายถ้าคนงานลาออก จะไม่มีการรับคนเพิ่ม และจะใช้พนักงานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากปัจจัยค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้องจ่ายผลตอบแทนให้กับตำแหน่งอื่นที่ไม่ใช่ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ มาตรการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ แทนการซื้อในประเทศ ซึ่งจะต่ำกว่า เนื่องจากได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า และบางประเทศ เช่น จีน มีต้นทุนการนำเข้าที่ถูกกว่ามาก แต่มาตรการนี้จะสร้างผลเสียให้กับเศรษฐกิจไทย เพราะการผลิตในประเทศจะไม่สามารถขายสินค้าได้
นอกจากนี้ จะมีการใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้นเพื่อประหยัดพลังงาน ตลอดจนลดการรับออเดอร์เพื่อประเมินการผลิต เป็นการลดความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาน้ำมันในสิ้นเดือนมกราคมนี้ อาจปรับเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากการกลับมาเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน คาดว่าน้ำมันดีเซลอาจจะเกือบถึง 40 บาทต่อลิตรก็ได้ เพราะหากเทียบราคาตลาดโลกขณะนี้ ต้องอยู่ที่ 35 บาท ไม่ใช่ 31 บาทในขณะนี้ ซึ่งดีเซลที่เพิ่มขึ้นทุก 1 บาท จะทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นอีก 70 สตางค์
แหล่งข่าวจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ระยะสั้นคาดว่าราคาน้ำมันดิบตลาดเวสต์เท็กซัสจะเคลื่อนไหวในกรอบ 98-106 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และตลาดเบรนท์อยู่ที่ 108-116 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล