ความคืบหน้ากรณี พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 200 นาย
เข้าตรวจค้นสถานที่ผลิตระเบิดของเครือข่ายก่อการร้ายฮิซบอเลาะห์ภายในอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น 2 คูหา เลขที่ 52/15 หมู่ 2 ต.กาหลง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ติดกับถนนพระราม 2 ปากทางเข้าวัดกาหลง ตั้งแต่เมื่อเวลา 06.00 น. ของวันนี้ (16 ม.ค.) เนื่องจากได้รับการเปิดเผยจากผู้ต้องสงสัยชาวเลบานอนที่จับกุมได้ก่อนหน้านี้ว่า ภายในอาคารดังกล่าวมีการเก็บสารที่ใช้ในการผลิตวัตถุระเบิดไว้จำนวนมาก โดยได้เข้ามาเช่าอาคารแห่งนี้เพื่อเก็บสารผลิตวัตถุระเบิดไว้ตั้งแต่เมื่อเดือน ม.ค. 53 ในราคาเดือนละ 15,000 บาท
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้นำตัวนายอาทริส ฮุสเซน ผู้ต้องสงสัยรายนี้มาร่วมค้นที่เกิดเหตุด้วย
โดยได้มีการใส่หมวกไหมพรมปิดบังใบหน้าของนายอาทริส ฮุสเซนไว้ และได้นำตัวเข้าไปในอาคารพาณิชย์โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปบันทึกภาพภายในตัวอาคาร อีกทั้งยังได้มีการตัดสัญญาณโทรศัพท์ในระยะ 30 เมตรนับจากตัวอาคารดังกล่าว ซึ่งตำรวจใช้เวลาในการตรวจค้นนานกว่า 2 ชั่วโมง จากการตรวจค้นพบว่ามีการซุกซ่อนสารแอมโมเนียไนเตรตละลายน้ำ จำนวน 8 แกลลอน และมีสารยูเรียถูกบรรจุอยู่ในกล่องกระดาษอีกกว่า 400 กล่อง นอกจากนี้ยังมีพัดลมซึ่งเป็นสินค้าที่ทางผู้ต้องสงสัยสั่งเข้ามาเก็บไว้ในอาคารเพื่อใช้ปิดบังการกระทำความผิด สำหรับของกลางทั้งหมดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจยึดเอาไว้ พร้อมกับขนย้ายใส่รถเทเลอร์ เพื่อนำมาตรวจสอบที่กรุงเทพมหานคร
ด้าน พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ผบ.ตร. เปิดเผยว่า หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนายฮุสเซนไว้ได้เมื่อสองวันที่แล้ว
ซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะร่วมกับพวกเข้ามาก่อการร้ายในประเทศไทยนั้น ก็ได้มีการนำตัวมาซักถามตามหลักการสากล คือ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน โดยใช้เวลาอยู่ 2 วัน ผู้ต้องสงสัยรายนี้ก็ได้ให้การยอมรับว่า ได้มีการนำสารที่ใช้ในการผลิตวัตถุระเบิดมาเก็บไว้ที่อาคารดังกล่าว แต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะผลิตวัตถุระเบิดเพื่อก่อการณ์ร้ายในประเทศไทย เพียงแต่ต้องการใช้ประเทศไทยเป็นจุดส่งสินค้า หรือสิ่งของทั้งหมดนี้ออกไปนอกประเทศ เพื่อก่อการณ์ร้ายในอีกประเทศหนึ่ง แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดตรงนี้ได้ ซึ่งก็ขอให้คนไทยมั่นใจได้ว่า จะไม่มีการก่อการณ์ร้ายในประเทศไทยอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้นิ่งนอนใจยังคงมีการสืบหาข่าวอยู่ตลอดเวลา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยและของกลางทั้งหมดกลับไปยังกองบัญชาการตำรวจแห่งชาติ
เพื่อแจ้งความดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ 2503 มาตรา 15 ว่าด้วยการห้ามมิให้ผู้ใดสั่งเข้า นำเข้า ผลิต หรือมีซึ่งยุทธภัณฑ์ (แอมโมเนียไนเตรต) เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากปลัดกระทรวงกลาโหม มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนในด้านของผู้ให้เช่าอาคารพาณิชย์นั้น จะต้องนำตัวมาสอบสวนว่ามีส่วนรู้เห็น หรือเกี่ยวข้องกับการให้เก็บวัตถุเหล่านี้ด้วยหรือไม่ สำหรับอาคารตึกแถวดังกล่าวเป็นของ นายกฤษณะ พรหมชนะ ซึ่งปลูกเพื่อจำหน่ายและให้เช่า โดยเจ้าหน้าที่จะทำการสอบสวนปากคำต่อไป
ต่อมาเมื่อเวลา 10.45 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. เปิดเผยว่า ของกลางที่พบรวมจำนวนกว่า 396 กิโลกรัม
หลังการตรวจค้นได้คุมตัวผู้ต้องสงสัยไปทำการสอบสวนเพิ่มเติมที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน(ตชด.) โดย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ผบ.ตร. ได้มอบหมายให้พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.เจตน์ มงคลหัตถี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมกับพนักงานสอบสวนของ บช.น. ภูธรภาค 7 กองบัญชาการตำรวจสันติบาล และกองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ร่วมเป็นพนักงานสอบสวน เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาความผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.ยุทธภัณฑ์ เนื่องจากตรวจค้นพบสารเคมีต้องห้ามบางอย่างซึ่งผิดกฎหมาย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ยังมีการซุกซ่อนสารตั้งต้นในการผลิตระเบิดไว้ที่จุดอื่นอีกหรือไม่ พล.ต.ท.วินัย กล่าวว่า
ไม่มี และจะยังไม่ทำการผลักดันตัวผู้ต้องหาออกนอกประเทศในตอนนี้ จะต้องทำการสอบสวนและแจ้งข้อหาก่อน เนื่องจากพบว่ายังมีผู้ร่วมขบวนการอีกหลายคน โดยเฉพาะผู้ต้องสงสัยตามภาพสเกตซ์ ทางตำรวจยังตามตัวไม่เจอ ไม่ยืนยันว่ายังอยู่ในกรุงเทพมหานครหรือไม่ ต้องใช้เวลาในการสืบสวนอีกสักระยะ.