สำหรับประเทศไทยสถานการณ์ล่าสุด ศูนย์สนับสนุนการอำนวยการและการบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศอส.)
รายงานจังหวัดที่ประสบปัญหาน้ำท่วม 25 จังหวัด คือ สุโขทัย พิจิตร พิษณุโลก นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี อุบลราชธานี ขอนแก่น ศรีสะเกษ สุรินทร์ ฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีนบุรี เชียงใหม่ ยโสธร และร้อยเอ็ด ประชาชนเดือดร้อน 2,247,128 คน และมีผู้เสียชีวิต 224 ราย โดยพื้นที่เกษตรที่คาดว่าจะเสียหาย 7,528,805 ไร่ พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 107,732 บ่อ
ขณะที่มีเส้นทางหลวงที่ไม่สามารถสัญจรได้ 47 สาย ใน 12 จังหวัด ทางหลวงชนบทที่ถูกตัดขาด 121 สาย ใน 20 จังหวัด โดยกรมชลประทานคาดหมายสถานการณ์น้ำว่าหลายลุ่มน้ำยังมีน้ำล้นตลิ่ง
@เสนอบูรณาการหน่วยงานน้ำทั้งประเทศวางแผนระยะยาว
ทั้งหมดนี้คือสถานการณ์โดยรวมของน้ำท่วมในประเทศไทยและหลายประเทศในเอเชียอย่างพร้อมๆไล่เรียงกัน อย่างไรก็ตามมีแนวคิดข้อเสนอจาก ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ อดีตอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา และอดีตผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจออนไลน์" ถึงแนวคิดการบริหารจัดการ "น้ำ" ว่า สถานการณ์น้ำท่วมหนักในปีนี้รัฐบาลจะต้องเร่งพิจารณาเพื่อวางแผนระยะยาวในปีหน้า เพราะจะมีเหตุการณ์น้ำท่วมซ้ำซากได้อีก แนวทางที่ควรดำเนินการคือการ "บูรณาการ" ทุกหน่วยงานน้ำที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีกว่า 20 หน่วยงานให้สามารถทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่กรมอุตุนิยมฯ กรมทรัพยากรน้ำ กรมชลประทาน หน่วยงานเตือนภัย หน่วยงานป้องกัน เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ทั้งหมดต้องประชุมร่วมกัน และศึกษาผ่านข้อมูลที่สามารถวางแผนระยะยาว อย่างไรก็ตามที่ผ่านมามีความพยายามผลักดันแนวคิด "คณะกรรมการน้ำแห่งชาติ" ซึ่งหากไม่ดำเนินการก็ควรเร่งวางแผนการทำงานบูรณาการหน่วยงานน้ำทั้งหมดให้มีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นเช่นปัจจุบันที่สถานการณ์ต่างคนต่างทำ
ทั้งนี้เสนอว่าทุกหน่วยงานต้องมาประชุมศึกษาหาข้อมูล โดยนำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดว่าฤดูฝนที่จะถึง (ปีหน้า) มีปริมาณน้ำที่ฝนที่จะตกเท่าไหร่
มีพายุมากน้อยกี่ลูก พายุเข้าต้นฤดูฝน ช่วงกลาง หรือท้ายฤดู ต้องมีข้อมูลนี้อย่างแน่ชัดก่อน ถ้าเรารู้ข้อมูลนี้แน่ชัดเราสามารถวางแผนรับมือได้ เช่นถ้าพายุเข้าต้นฤดูฝน ก็จะมีการคำนวณน้ำในเขื่อนว่าจะเก็บน้ำไว้เท่าไหร่ เพื่อให้ช่วงปลายฤดูฝนบริหารจัดการน้ำในเขื่อนได้ไม่เช่นนั้น ถ้าพายุเข้า น้ำมามากในช่วงฤดูฝน แต่ช่วงปลายฤดูน้ำมาซ้ำก็จะส่งผลน้ำท่วม เพราะไม่ได้บริหารจัดการน้ำในเขื่อนให้มีที่ว่างเก็บ ไม่ต้องปล่อยให้ล้นเขื่อนและไหลออกมาภาคกลางตอนล่าง"อดีตผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งช่าวกล่าว
ดร.สมิทธ กล่าวว่า ในต่างประเทศใช้วิธีการวางแผนระยะยาวเช่นนี้ได้ผล โดยคำนวณทางวิทยาศาสตร์วางแผนสถานการณ์น้ำฝนล่วงหน้าทั้งหมดว่าพายุจะมากี่ลูก และไปในทิศทางใด ส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนที่จะมามีเท่าไหร่ ซึ่งเมื่อมีการคำนวณจากการพยากรณ์ล่วงหน้าได้ก็จะมาบริหารน้ำในเขื่อนช่วงต้น กลาง ปลายฤดูฝนทั้งหมดจะช่วยลดการสูญเสียได้มาก
"ต่างประเทศมีการบูรณาการหน่วยงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องโดยนำข้อมูลการพยากรณ์อากาศระยะไกล ซึ่งสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน ใช้วิธีนี้ และมีข้อมูลพร้อมที่จะสามารถพยากรณ์การเกิดพายุในมหาสมุทรแปซิฟิค ซึ่งประเทศเหล่านี้สามารถคำนวณรู้ว่ากี่เดือนจะมา ไปกี่ทิศทางขึ้นเหนือลงใต้ไปประเทศใดบ้าง เค้ารู้ล่วงหน้า การผิดพลาดน้อยมาก ถ้าประเทศไทยขอความร่วมมือ ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยามีเครื่องมือพยากรณ์ล่วงหน้าระยะ 3-7 วัน ทั้งหมดนี้เมื่อนำมาเชื่อมโยงจะทำให้ประเทศไทยประเมินสถานการณ์น้ำฝนที่จะมากับพายุได้เช่นกัน และใช้ข้อมูลนี้มาบริหารน้ำเพื่อลดความสูญเสีย"ดร.สมิทธกล่าว