เมื่อวันที่ 17 กันยายน นายฉัตรป้อง ฉัตรภูติ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะประธานศูนย์สนับสนุนการอำนวยการและการบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศอส.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยใน 26 จังหวัด ได้แก่ สุโขทัย พิจิตร พิษณุโลก นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี อุบลราชธานี ยโสธร เลย ขอนแก่น มหาสารคาม ศรีสะเกษ ฉะเชิงเทรา นครนายก ตาก สระแก้ว และปราจีนบุรี รวม 165 อำเภอ 1,095 ตำบล 6,915 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 408,783 ครัวเรือน 1,412,357 คน ผู้เสียชีวิต 102 ราย สูญหาย 2 ราย พื้นที่การเกษตร 4,043,993 ไร่
สำหรับสถานการณ์น้ำในทุกลุ่มน้ำต่างๆ ยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากฝนที่ตกต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ทำให้ปริมาณน้ำในลุ่มน้ำต่างๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ที่เกิดภาวะน้ำล้นตลิ่งอยู่แล้วระดับน้ำท่วมจะเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยามีปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ 3,786 ลบ.ม./วินาที เขื่อนเจ้าพระยาปริมาณน้ำไหลผ่าน 3,694 ลบ.ม./วินาที และผ่านอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 3,089 ลบ.ม./วินาที ส่งผลให้มีน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ที่ลุ่มต่ำบริเวณจังหวัดอุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และนนทบุรี
ทางด้านสถานการณ์น้ำในเขื่อนต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเขื่อนขนาดใหญ่ ได้แก่ เขื่อนภูมิพล มีปริมาณน้ำร้อยละ 87 ของความจุอ่าง เขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำร้อยละ 96 ของความจุอ่าง เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน มีปริมาณน้ำมากเกินความจุร้อยละ 102 ของความจุอ่าง และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มีปริมาณน้ำร้อยละ 95 ของความจุอ่าง ซึ่งต้องเร่งระบายน้ำออกเพื่อพร่องน้ำอย่างต่อเนื่อง จึงขอแจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ท้ายเขื่อนให้เตรียมขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง ส่วนกรุงเทพมหานครพื้นที่ด้านตะวันออกนอกคันกั้นน้ำบริเวณเขตมีนบุรี หนองจอก และลาดกระบัง ยังมีน้ำท่วมในบางพื้นที่ ระดับน้ำมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง