ฝึกอีก 6 เดือนใกล้เคียงปกติ 29ก.ย.กอดคอ”หมอมุก”ร้องเพลงให้กำลังใจทหาร พ่อพ้อรถไฟฟ้าสิงคโปร์ฟ้องกลับ 102 ล้านบาท
เมื่อเวลา 10.25 น.วันที่ 12 ก.ย. นพ.เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวการฟื้นฟูสมรรถภาพน.ส.ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ หรือ น้องธันย์ ภายหลังการใส่ขาเทียมซีเลกข้างละ 1.2 ล้าน รวมคู่ละ 2.4 ล้านบาท หลังประสบอุบัติเหตุตกรางรถไฟฟ้าที่สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 3 เม.ย. เป็นเหตุให้ขาขาด 2 ข้าง และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้กรมการแพทย์จัดหาขาเทียมซีเลกให้ว่า น้องธันย์สามารถเดินได้ด้วยขาเทียมโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือราว 200-300 เมตรได้อย่างปลอดภัย และทำกิจวัตรประจำวันได้ แต่ยังไม่สามารถทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายมาก ๆ เช่น การขึ้นรถเมล์ หรือเล่นกีฬา ดังนั้นต้องใช้ความพยายาม ความอดทนฝึกฝนเพื่อที่จะใช้ขาเทียมได้อย่างคล่องแคล่วคงใช่เวลาไม่นาน ขณะเดียวกันหากต้องการเป็นจิตแพทย์ตามที่ตั้งใจไว้ก็ต้องมุ่งมั่นขยันเรียน
พญ.ดารณี สุวพันธ์ ผอ.ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพแห่งชาติ กล่าวว่า
การฟื้นฟูสมรรถภาพให้น้องธันย์ได้แก่การออกกำลังกล้ามเนื้อส่วนแขนโดยยกน้ำหนัก 2 กก. เพื่อให้ใช้กล้ามเนื้อแขนเคลื่อนย้ายตัวและลุกยืน ยืดกล้ามเนื้อรอบสะโพก และยืดกล้ามเนื้อและออกกำลังกายบริเวณรอบสะโพกเพื่อให้มีกำลังกล้ามเนื้อควบคุมขาเทียม การออกกำลังกล้ามเนื้อท้องด้วยการซิทอัพและวิดพื้น เพื่อให้ทรงตัวระหว่างใส่ขาเทียมได้อย่างปลอดภัย
นพ.พันธ์ศักดิ์ ตันสกุล นายแพทย์ชำนาญการ ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพแห่งชาติ ในฐานะแพทย์เจ้าของไข้ กล่าวว่า
ตอนนี้การเดินของน้องธันย์ยังไม่เป็นธรรมชาติ ยังโคลงเคลงอยู่ เพราะกล้ามเนื้อรอบสะโพกยังไม่แข็งแรง ดังนั้นต้องฝึกทำกายภาพ ควบคู่กับการใส่ขาเทียม คาดว่าภายใน 6 เดือน น่าจะเดินได้ใกล้เคียงปกติและมีความมั่นใจมากขึ้น ดังนั้นจะต้องฝึกทุกเย็นหลังเลิกเรียน และช่วงวันเสาร์-อาทิตย์
ฟื้นฟู น้องธันย์ ใช้ขาเทียมไฮเทคฉลุย
ด้าน น้องธันย์ กล่าวว่า หลังใส่ขาเทียมคู่ใหม่และได้ฝึกเกือบ 2 เดือน ตอนนี้เริ่มเดินได้คล่องขึ้นบ้างแล้ว
แต่ยังต้องฝึกเดินต่ออีกเพื่อให้การทรงตัวดีกว่าเดิม ยังต้องฝึกใช้กล้ามเนื้อสะโพกในการช่วยพยุง ซึ่งคงต้องใช่ช่วงเวลาว่างในช่วงเสาร์อาทิตย์มาฝึกเพิ่มเติมที่ศูนย์สิริธรฯ เพราะขณะนี้ได้ออกจากศูนย์สิริธรแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 10 ก.ย. ไปอยู่คอนโด เวลาไปโรงเรียนคุณพ่อขับรถไปส่ง ที่โรงเรียนก็สนุก ทั้งเพื่อนๆ และครูต่างเป็นห่วง และให้การช่วยเหลือเป็นอย่างดี นอกจากนี้สิ่งที่ต้องฝึกต่อหลังจากนี้คือการฝึกเดินในสถานการณ์จริง เพราะบางพื้นที่ไม่ได้เป็นพื้นราบ มีผิวถนนขรุขระ ไม่เท่ากันบ้าง จึงต้องฝึกเดินให้มากขึ้น และตอนนี้ได้เริ่มทดลองเดินปล่อยมือบ้างแล้ว
“ตอนทดลองเดินโดยใช้ขาเทียมในช่วงแรกๆ รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย เพราะไม่ใช่ขาของเรา และรู้สึกเจ็บจากการเสียดสีกับอุปกรณ์ขาเทียม แต่ก็ดีใจที่ได้กลับมาเดินได้เองอีกครั้ง” น้องธันย์ กล่าว และว่า นอกจากโรงเรียนแล้ว หลังใส่ขาเทียมได้ไปทำบุญที่วัด ช็อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้า และร้องคาราโอเกะ หากถามว่าเดินได้ไกลแค่ไหน ต้องบอกว่าเดินได้ระยะไกลมาก เดินเที่ยวห้างได้ 5-6 ชั่วโมงไม่เมื่อย แต่อาจต้องใช้อุปกรณ์ช่วยพยุง อย่างรถเข็นในซุปเปอร์มาเก็ต
นายกิตติ์ธเนศ เป็นเอกชนะศักดิ์ บิดาน้องธันย์ กล่าวว่า
สำหรับคดีนั้นหลังจากที่ทีมทนายจากโรตารี่สิงคโปร์ได้เป็นตัวแทนยื่นฟ้องบริษัท เอสเอ็มอาร์ที ผู้ดำเนินกิจการรถไฟฟ้าสิงคโปร์ต่อศาลสิงคโปร์และเรียกค่าเสียหาย 3.4 ล้านดอลล่าร์สิงคโปร์ หรือ เป็นเงินไทยประมาณ 85 ล้านบาท แต่ปรากว่าทางบริษัทได้ยื่นคำร้องคัดค้านการชดเชยค่าเสียหายดังกล่าว ดังนั้นในวันที่ 19 ก.ย.นี้ ทางทีมทนายจะยื่นจำลองเหตุการณ์ต่อศาลอีกครั้งว่าในวันเกิดเหตุน้องธันย์ยืนอยู่ตรงไหน และเกิดอุบัติเหตุได้อย่างไร
อย่างไรก็ตามได้ข่าวมาว่าทางบริษัทรถไฟฟ้าสิงคโปร์จะยื่นฟ้องกลับโดยเรียกค่าเสียหาย 3.4 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯหรือเป็นเงิน 102 ล้านบาท
ซึ่งในวันที่น้องธันย์ทราบว่าทางบริษัทรถไฟฟ้าได้ยื่นคำร้องคัดค้านถึงกับร้องไห้เพราะสงสารตน ทั้งที่ค่าใช้จ่ายดังกล่าวที่ฟ้องไปนั้นก็เพื่อนำมาใช้ดูแลเรื่องอุปกรณ์สำหรับน้องธันย์เพราะหากน้องธัตย์มีอายุถึง 75 ปีต้องเปลี่ยนขาเทียมทุก ๆ 5 ปีจะใช้เงินประมาณ 60 ล้าน ทั้งนี้ในวันที่ 29 ก.ย. นี้เวลาประมาณ 17.00-20.00 น. น้องธันย์ได้รับการติดต่อให้ไปร้องเพลงร่วมกับ “หมอมุก” เพื่อให้กำลังใจแก่ทหารที่ รพ.พระมงกุฎเกล้าด้วย