พิษบ่อนกลางกรุงระอุ “พล.ต.อ.สถาพร” เผยหลักฐานชัดเจนเชื่อเปิดบ่อนจริง เตรียมเชือดวินัย ตร. ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
วันนี้( 28 ส.ค.) ที่สำนักงานจเรตำรวจ ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ในฐานะประธานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีบ่อนการพนันในพื้นที่ สน.สุทธิสาร พร้อมด้วย พล.ต.ท.เอกรัตน์ มีปรีชา จเรตำรวจ(สบ 8) พล.ต.ต.วิมล เปาอินทร์ รองจเรตำรวจ(สบ 7) คณะกรรมการสอบสวน เรียก พล.ต.ต.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบก.น.2 พ.ต.อ.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผกก.สน.สุทธิสาร และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สุทธิสาร ตั้งแต่ระดับ รอง ผกก. ไปจนถึงระดับสารวัตรที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เข้าให้การกรณีมีบ่อนการพนันในพื้นที่ ท่ามกลางความสนใจของสื่อมวลชนเป็นจำนวนมาก
พล.ต.อ.สถาพร กล่าวก่อนประชุมว่า วันนี้ได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในระดับกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 และสน.สุทธิสาร
มาสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อหาข้อเท็จจริง และหาผู้ที่มีส่วนต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้ว่ามีใครบ้าง และจะดูว่าก่อนหน้านี้ได้มีการสั่งการให้ตำรวจในพื้นที่เข้มงวด หรือมีการปราบปรามบ่อนการพนันในพื้นที่อย่างไรบ้าง และในวันจันทร์ ที่ 29 ส.ค.ก็จะเรียกระดับกองบัญชาการมาสอบสวนเพิ่มเติมตั้งแต่ ผบช.น. และรอง ผบช.น.ที่มีส่วนต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้ หลังสอบสวนเสร็จในวันอังคารที่ 30 ส.ค. ก็จะรายงานผลสรุปให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ทราบว่ามีบ่อนเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครปล่อยปละละเลยและใครมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้บ้าง
จเรตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ทางคณะกรรมการก็มีข้อมูลในระดับหนึ่งหลังสอบปากคำพยานไปแล้วกว่า 10 ปาก
คาดว่าคงไม่ต้องสอบใครเพิ่มเติมอีกแล้ว รวมทั้งนายชูวิทย์ก็คงไม่ต้องเรียกมาสอบหรือให้ข้อมูลเพิ่มอีก เพราะจากคลิปที่นำมาเปิดเผยก็ถือว่าเป็นเรื่องในทางอาญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจากการตรวจสอบคลิปพร้อมกับลงพื้นที่ก็พบว่ามีการรื้อถอนทำลายหลักฐานในสถานที่ดังกล่าวทั้งหมดจริง จึงเชื่อได้ว่าที่ดังกล่าวเป็นบ่อนการพนันก่อนที่จะมีการรื้อถอน และผกก.สน.สุทธิสาร ก็คงจะปฏิเสธความรับผิดชอบว่าไม่ทราบว่าในพื้นที่ไม่มีบ่อนการพนันไม่ได้ ก็คงต้องถูกพิจารณาโทษทางวินัยอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามในส่วนที่เหลือจะตรวจสอบความผิดทางวินัยเป็นรายบุคคลไป เพราะแต่ละคนมีหน้าที่ความรับผิดชอบในท้องที่แตกต่างกันออกไป ตรงนี้ต้องดูว่าใครเป็นคนที่จะต้องรับผิดโดยตรงและมีส่วนเกี่ยวข้อง
จเรตำรวจแห่งชาติ กล่าวอีกว่า ส่วนขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นสถานที่ดังกล่าวแล้วมีการห้ามนักข่าวเข้าไปถ่ายภายในสถานที่นั้น
ทั้งนี้เนื่องจากเป็นที่ส่วนบุคคลที่ทางเจ้าของไม่อนุญาตให้นักข่าวเข้าไปถ่ายภายใน ไม่ใช่ตำรวจห้ามหรือต้องการปิดบังข้อมูล หรือเพื่อช่วยเหลือตำรวจด้วยกันเอง ขอยืนยันว่าการทำงานของพวกตนโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ และคาดว่าคงใช้เวลาไม่นานก็จะสามารถสรุปเรื่องราวทั้งหมดให้ประชาชนคลายความสงสัยลงได้
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังจากนั้นทางคณะกรรมการก็ได้เรียกผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าห้องประชุม กองตรวจราชการ10 โดยไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปบันทึกภาพภายในห้อง และไม่ให้ร่วมรับฟังการประชุม.