ส.นักข่าวฯ จูงมือหน.อุทยานฯแก่งกระจาน พร้อมนักวิชาการด้านกระเหรี่ยง ถกปัญหารุกป่าแก่งกระจาน จนท.ลั่นใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก ยันไม่ได้รังแกกะเหรี่ยง
เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (8 ส.ค.) สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดเสวนาหัวข้อ “ฮ.ตกกับปัญหาอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน” โดยเชิญนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการ ศูนย์ศึกษากระเหรี่ยงและพัฒนา และนายวุฒิ บุญเลิศ ประธานประชาคมอำเภอสวนผึ้ง เป็นวิทยากร
นายวุฒิ บุญเลิศ ประธานประชาคมอำเภอสวนผึ้ง กล่าวว่า ตนไม่พอใจการทำหน้าที่ของหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
เนื่องจากไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 ซึ่งเห็นชอบตามกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอถึงหลักการแนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการพื้นฟูวิถีชีวิตชาวกระเหรี่ยง และมอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวนโยบายรวมทั้งหลักปฏิบัติในการพื้นฟูวิถีชีวิตชาวกระเหรี่ยงไปปฏิบัติ แต่สิ่งที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานทำนั้นตนถือเป็นการละเมิดสิทธิ เพราะคนกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในพื้นที่นานแล้ว ตนอยากให้หาทางออกด้วยการเปิดโอกาสให้องค์กรสิทธิมนุษยชนเข้ามามีบทบาทในการเจรจา เพราะเรื่องนี้ต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้ด้านวิถีชีวิตและวัฒนธรรม”
ด้านนายสุรพงษ์ กองจันทึก ผอ.ศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา ได้กล่าวในช่วงหนึ่งว่า “ผมอยากจะฝากทาง หน.อช.แก่งกระจานว่า
ขอให้ทาง จนท.ได้ยุติการจับกุมกะเหรี่ยงที่เข้ามาบุกรุกป่าหรือลักลอบใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า แต่ควรปรับเปลี่ยนเป็นการจัดตั้งคณะกรรมการ โดยมีตัวแทนจากทางภาครัฐและภาคประชาชน ร่วมสอบสวนในการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ไม่ควรปฏิบัติหน้าที่เหมือนทุกวันนี้ ที่มีการผลักดันคนกะเหรี่ยงไร้สัญชาติให้ออกนอกพื้นที่ป่า ด้วยวิธีที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น การเผาทำลายสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ซึ่งทางหัวหนิอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ที่ได้ออกมายอมรับว่าเป็นเรื่องจริง ถึงจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยใช้ไม้อ่อนไปไม้แข็งก็ตาม ผมก็ยังมองว่ายังไม่ค่อยที่จะเหมาะสมอยู่ดี ควรจะใช้วิธีในการเจรจา ประนีประนอมซึ่งกันและกันมากกว่าการใช้กำลังเข้าหากัน ซึ่งวิธีนี้ทาง อช.ทับลาน จ.นครราชสีมา ได้เคยใช้อย่างได้ผลมาแล้ว”
“กะเหรี่ยงกลุ่มนี้อยู่อาศัยกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปีไม่มีการใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด หนำซ้ำยังช่วยกันรักษาผืนป่าให้อุดมสมบูรณ์ และทำการเกษตรแบบหมุนเวียนซึ่งไม่ได้ทำไร่เลื่อนรอยอย่างที่เป็นข่าว อีกทั้งผมอยากจะขอชี้แจงเพิ่มเติมว่า กะหร่างนั้นถือว่าเป็นการดูถูกกลุ่มกะเหรี่ยงเพราะต้องเรียกว่า กะเหรี่ยง ทุกกลุ่ม” ผอ.ศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงฯ พูดทิ้งท้าย
ทางด้านนายชัยวัฒน์ ได้กล่าวชี้แจงว่า ถึงตนยืนยันว่ากลุ่มคนที่ผลักดันออกนอกพื้นที่ไม่ใช่ชนกลุ่มน้อย
แต่เป็นคนไร้สัญชาติที่บางส่วนอพยพมาจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน หรือมีบางพวกที่แอบแฝงประโยชน์อย่างไม่ถูกต้อง โดยมีกลุ่มนายทุนตลอดไปถึงนักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งเป็นคนไทยให้การสนับสนุน อำนวยความสะดวก ในการเดินทางเข้ามาบุกรุกพื้นที่ป่า ซึ่งภาษาพูดที่คนนี้ใช้สื่อสารกันนั้น เป็นภาษาที่ไม่ใช่ภาษาไทยหรือภาษาของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่นั้นใช้ แม้แต่คนที่เป็นล่ามที่อาศัยในพื้นที่ยังก็คุยไม่รู้เรื่อง ประกอบกับผู้ที่บุกรุกพื้นที่ป่ามีเพียงผู้หญิง คนชรา และเด็กที่อาศัยอยู่ ทำให้ จนท.รู้สึกผิดปกติ เพราะแตกต่างจากหมู่บ้านธรรมดา รวมทั้งมีการปลูกข้าว ทำไร่เลื่อนลอย ตัดโค่นต้นไม้อีกเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีการลักลอบปลูกพืชยาเสพติด ประเภทกัญชา กระจายอยู่ทั่วบริเวณในพื้นที่บุกรุก ถือว่าเป็นอีกหนึ่งมหันภัยที่เข้ามาคุกคามประเทศ
“ส่วนในเรื่องการเผาหรือทำลายสิ่งปลูกสร้าง ที่ชนกลุ่มน้อยชาวกะเหรี่ยงได้อ้างว่าเป็นผู้ครอบครอง ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์เจ้าหน้าที่นั้น เจ้าหน้าที่ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการทำความเข้าใจ โดยลงพื้นที่พร้อมผู้นำท้องถิ่นแต่ไม่เป็นผล จึงต้องต้องไล่ระดับปฏิบัติการให้เข้มข้นมากขึ้น และสาเหตุที่ต้องทยอยทำลายบ้านพัก เนื่องจากลงพื้นที่แล้วพบว่าไม่มีคนอยู่ จึงเผาทิ้งเพื่อง่ายต่อการตรวจเช็คหากมีจุดใดถูกสร้างขึ้นใหม่ ยืนยันได้ว่าไม่ได้ทำเพราะมีเจตนาจะรังแกกลุ่มคนพวกนี้ แต่ที่ต้องทำเพราะพื้นที่ป่าบริเวณอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานถูกทำลายเป็นบริเวณพื้นที่ประมาณ 100 ไร่ อย่างไรก็ตามผมก็ได้กำชับและให้กำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่เสมอ ว่าให้ตั้งใจและมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละคนอย่างดีที่สุด เพื่อปกป้องทรัพยากรของชาติไว้ แม้ว่าจะมีนายทุนที่มีอิทธิพลคอยหนุนหลังกลุ่มคนพวกนี้ก็ตาม แต่ก็ต้องพยายามต่อไป เพราะยึดมั่นในอุดมการณ์ในการทำงานต่อไป” นายชัยวัฒน์ กล่าว