นายเจษฎา อนุจารี อุปนายกฝ่ายนโยบายและแผนงาน และรองโฆษกสภาทนายความ แถลงว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2554
นายสุธี พันธุลาภ และชาวบ้านในชุมชนท่าพระยา และชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้บริเวณวัดทุ่งน้อย ตำบลท่าพระยา อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ได้ร้องขอความช่วยเหลือทางกฎหมายจากสภาทนายความ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการปล่อยฝุ่นละอองแพร่กระจายออกมาจากการเดินเครื่องจักรอบข้าวและขัดข้าวภายในโรงสี ส่งผลให้ชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงโรงสีมีอาการคันและแสบจมูก ซึ่งที่ผ่านมาชาวบ้านได้ร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม กรมควบคุมมลพิษ และอุตสาหกรรมจังหวัดนครปฐม เนื่องจากโรงสีดังกล่าวดำเนินการไม่ถูกต้อง และไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน มีความผิด ตาม พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 แต่ไม่ได้รับความสนใจในการแก้ไขปัญหาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่าที่ควร อีกทั้งชาวบ้านเกรงกลัวต่ออิทธิพลจึงไม่มีใครกล้าให้ข้อมูล
นายสุธี พันธุลาภ แกนนำชาวบ้านได้ต่อสู้เรียกร้องขอความเป็นธรรมอย่างต่อเนื่อง จนเป็นสาเหตุให้ถูกทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส และตาบอดหนึ่งข้าง จนต้องพักรักษาตัวอยู่นานเกือบปี หลังจากนั้นนายสุธี พันธุลาภ ได้เข้าร้องเรียนกับกรมควบคุมมลพิษ โดยเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปทำการตรวจสอบโรงสี พบว่ายังคงฝ่าฝืนและประกอบกิจการเช่นเดิม และยังคงใช้วิธีเดิมในการอบข้าวและสีข้าว โดยใช้ฟืน และแกลบเป็นวัตถุของเชื้อเพลิง ทำให้เกิดกองขี้เถ้าเป็นจำนวนมาก อีกทั้งไม่มีวิธีการดักฝุ่นละอองจากการอบ และขัดข้าวพ่นออกจากเครื่องจักร และยังคงมีการเดินเครื่องจักรทั้งกลางวันและกลางคืน
และเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2554 สภาทนายความได้ทำการยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง แผนกคดีสิ่งแวดล้อม กับผู้กระทำละเมิด ฐานความผิด เหตุเดือดร้อน ละเมิด ทางด้านสิ่งแวดล้อม โดยขอให้ศาลพิพากษาให้ห้ามประกอบกิจการอบข้าวเปลือกและขัดข้าว จนกว่าโรงสีจะดำเนินการปรับปรุงหรือแก้ไขมิให้ฝุ่นละอองเกิดจากเครื่องจักร
ต่อมานายสุธี พันธุลาภ ได้เข้าร้องขอความช่วยเหลือจากคณะทำงานสภาทนายความว่ามีคนร้ายยิงกระสุนปืนเข้าไปในบ้าน จำนวน 3 นัด โดยนายสุธียืนยันว่าไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใคร และสันนิษฐานสาเหตุการลอบยิงน่าจะมาจากความขัดแย้งในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามในสัปดาห์หน้าสภาทนายความจะยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐต่อศาลปกครองกลาง ฐานละเลยต่อหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร