เมื่อวันที่ 26 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เที่ยวบินทีจี 201 จากสนามบินสุวรรณภูมิมุ่งหน้าจังหวัดภูเก็ต
ได้เกิดเหตุฉุกเฉินจากสภาพอากาศที่สนามบินภูเก็ต ทำให้ต้องเดินทางกลับกทม.กระทันหัน โดยเที่ยวบินดังกล่าวเป็นเครื่องโดยสารขนาดใหญ่ มีผู้โดยเต็มลำขนาด 400 ที่นั่ง ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งกำหนดการเดินทางของเที่ยวบินดังกล่าว คือ เวลา 07.30 น. แต่มีการแจ้งว่าเที่ยวบินล่าช้าประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง ซึ่งไม่ได้แจ้งเหตุผลต่อผู้โดยสาร ก่อนออกเดินทางเวลา 08.30 น. และตามกำหนดจะมีระยะเวลาการเดินทางประมาณ 45 นาที
เมื่อใกล้ถึงสนามบินภูเก็ต พบว่าสภาพอากาศมีเมฆหนา ขณะกำลังลดระดับเพื่อลงจอดที่สนามบินภูเก็ต กัปตันประกาศว่ากำลังนำเครื่องลง
แต่พบว่าสภาพอากาศแย่มาก จึงต้องนำเครื่องขึ้นอีกทันทีและประกาศว่า สภาพอากาศเหนือสนามบินภูเก็ต ไม่ปลอดภัยพอจะนำเครื่องลงจอด และนำเครื่องกลับมาจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิทันที และจอดพักเพื่อเติมน้ำมัน ซึ่งผู้โดยสารชาวไทยส่วนใหญ่ตัดสินใจไม่เดินทางกลับไปที่ จ.ภูเก็ต อีกครั้งเนื่องจากไม่มั่นใจในสภาพอากาศ ขณะที่ชาวต่างชาติยืนยันที่จะเดินทางตามกำหนดการณ์เดิม และเดินทางถึงสนามบินภูเก็ตอีกครั้งในเวลา 12.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในสายการบินดังกล่าว นอกจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมาก
ยังมีคณะแพทย์ นักวิชาการ จำนวนมากซึ่งจะเดินทางไปประชุม รวมทั้งคณะนักข่าวกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยผู้บริหารจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ประมาณ 20 คน ซึ่งกำลังจะเดินทางไปลงพื้นที่ใน จ.ภูเก็ต เพื่อดูงานเรื่องการปลูกถ่ายไตวายเรื้อรัง ให้กับผู้ป่วยในระบบบัตรทอง ที่ศูนย์เปลี่ยนถ่ายไตใน จ.พังงา ซึ่งทั้งหมดตัดสินใจยกเลิกการเดินทาง เนื่องจากไม่แน่ใจในสภาพอากาศ และล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ทำให้ไม่สามารถทำงานได้ทัน
น.ส.อภิรดี ตรีรัตน์เกื้อกูล ผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ กล่าวว่า
ขณะที่เครื่องกำลังจะลงสังเกตเห็นว่าสภาพอากาศมีเมฆมาก ฝนตกหนัก รู้สึกได้ถึงการสั่นของเครื่อง และได้ยินเสียงเหมือนเครื่องกางล้อออกเหมือนกำลังจะลงจอดแล้ว แต่ก็มีการนำเครื่องขึ้นอย่างกระทันหัน ยอมว่าว่าตกใจ เพราะว่าการนำเครื่องขึ้นลง ถือเป็นช่วงที่อันตรายที่สุดของการโดยสารเครื่องบิน และสนามบินภูเก็ต ก็เคยเกิดเหตุการณ์เครื่องบินตกในระหว่างนำเครื่องลงมาแล้ว จึงตัดสินใจยกเลิกการเดินทางเพราะไม่สามารถทำงานได้ตามกำหนดการณ์เดิมแล้ว และแม้ว่าการเดินทางทางอากาศจะนับว่าปลอดภัยที่สุดก็ตาม แต่ว่า เวลาอยู่บนอากาศ เราไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ โดยเฉพาช่วงมรสุมเช่นนี้ แต่คิดว่ากัปตันตัดสินใจถูกแล้วที่ตัดสินใจนำเครื่องขึ้นอย่างปลอดภัย