เมื่อเวลา 09.40 น. วันที่ 16 ก.ค. ที่สนามบินสุวรรณภูมิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ให้สัมภาษณ์กรณีศาลเยอรมนีมีคำสั่งอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 เครื่องบินส่วนพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ระหว่างจอดอยู่ในสนามบินเมืองมิวนิก โดยอ้างถึงความขัดแย้งสัมปทานดอนเมืองโทลล์ เวย์ เมื่อปี 2548 โดยบริษัทวาลเทอร์ เบา ฟ้องร้องรัฐบาลไทยให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินประมาณ 30 ล้านยูโรว่า
เมื่อคืนในช่วงเวลาไทยหลังจากที่เรายื่นเรื่องให้ศาลเพิกถอนการอายัด เดิมคิดว่าศาลจะตัดสินได้เลย แต่ปรากฏว่าทางฝ่ายบริษัทได้ยื่นเอกสารคัดค้าน ทำให้ศาลพิจารณาเอกสาต่างๆ และนัดที่จะพิจารณาในวันที่ 18 ก.ค.นี้ ซึ่งทางท่านอัยการสูงสุดได้ประจำอยู่ที่นั่น และตนได้สั่งการให้อธิบดีกรมขนส่งทางอากาศ ตามไปสมทบเพิ่มเติมเพื่อไปดูเอกสารที่ทางบริษัทดังกล่าวได้ยื่นเพื่อเตรียมหักล้าง เข้าใจว่าทางบริษัทไปยื่นเอกสารที่เป็นข้อมูลเก่า เป็นข้อมูลในช่วงที่เครื่องบินลำนี้อยู่ในความดูแลของกองทัพอากาศ ทั้งนี้ คาดว่าจะตัดสินได้ในวันที่ 18 ก.ค.นี้ ยกเว้นศาลต้องการข้อมูลอะไรเพิ่ม ซึ่งจะได้มีเวลาพิจารณาเอกสารที่ยื่นไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ทางการเยอรมันได้แสดงความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เนื่องจากเป็นเรื่องของเอกชนกับศาลจึงไม่สามารถก้าวล่วงได้ ขณะเดียวกันก็ได้ช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆ ขณะที่นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศได้อยู่ที่นั่น เพื่อคอยประสานกับกระทรวงการต่างประเทศตลอด รัฐบาลได้ดำเนินการอย่างเต็มที่เพราะเป็นเรื่องที่ต้องปกป้องเกียรติยศ และชื่อเสียงของประเทศไทยด้วย ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวถือว่าไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม ซึ่งตนยืนยันว่าคดียังไม่ถึงที่สุด ถ้าหากคดีถึงที่สุดเมื่อไรประเทศไทยพร้อมปฏิบัติตามคำพิพากษาอยู่แล้ว และรัฐบาลไทยไม่ได้หายหรือหนีไปไหน ไม่มีความจำเป็นใดๆ ทั้งสิ้นที่เอกชนจะต้องดำเนินการในลักษณะนี้
เมื่อถามถึงความมั่นใจเอกสารหลักฐาน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราได้แสดงชัดเจนว่าทะเบียนเครื่องบินเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ ไม่น่าจะมีประเด็นอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเท่าที่ตนได้ข้อมูลมานั้น ทางบริษัทดังกล่าวไปเอาข้อมูลมาจากทางเว็บไซต์ ซึ่งมีรายชื่อเครื่องบินต่างๆ และอ้างว่ายังเป็นเครื่องบินของกองทัพอากาศ ซึ่งเป็นข้อมูลเก่า
อย่างไรก็ตาม อยากให้เรื่องดังกล่าวมีความชัดเจน เพราะเป็นเรื่องของเอกชน ขณะที่รัฐบาลเยอรมันคงไม่สามารถแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้ แต่ทางรัฐบาลเยอรมันก็ได้แสดงท่าทีโดยการออกแถลงการณ์ รวมทั้งได้ประสานกับรัฐบาลไทยโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่ใช่เหตุผลที่จะกระทบความสัมพันธ์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่ในส่วนของเอกชนถือเป็นอีกเรื่อง ที่เราต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้าง
เมื่อถามถึงการยื่นเอกสารของไทยที่ดูไม่ค่อยจะได้ผล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตอนที่ศาลตัดสินเมื่อช่วงวันที่ 11 - 12 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้ตัดสินโดยไม่ได้ไต่สวน คล้ายกับว่าตัดสินตามคำขอเร่งด่วน ขณะที่เราเพิ่งยื่นเอกสารไปเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ซึ่งศาลพิจารณาได้เลย แต่ทางบริษัทเอกชนเพิ่งมายื่นเอกสารเพิ่มก่อนที่ศาลจะนัดในอีก 2 ชั่วโมง
ทำให้ศาลต้องอ่านเอกสารของทางบริษัทและเลื่อนการตัดสินมาเป็นวันที่ 18 ก.ค.นี้แทน