ย้ำไม่ใช่ของรัฐ เป็นราชพาหนะ "ส่วนพระองค์"
มาร์คยันเครื่องบินพระ ที่นั่งไม่ใช่ของรัฐบาลไทย ย้ำศาลเยอรมนีเข้าใจผิดจนสั่งอายัด ยันเรื่องคดีรบ.ไทยกับเอกชนคู่กรณีอยู่ระหว่างยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสหรัฐ คดียังไม่ยุติ จี้บัวแก้ว-ทูตไทยเร่งทำความเข้าใจ เพื่อนำเครื่องบินกลับคืนมา 'กษิต'บินพบรมช.ต่างประเทศเยอรมนี ระบุเครื่องบินไม่ใช่ของรัฐบาล จี้ถอนอายัดโดยเร็วที่สุด ขณะที่ บ.เอก ชนคู่กรณีอ้างเครื่องโบอิ้งจดทะเบียนในนามรัฐบาลไทย
จากกรณีศาลเยอรมนีมีคำสั่งอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 เครื่องบินส่วนพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ระหว่างจอดอยู่ในสนามบินเมืองมิวนิก โดยอ้างถึงความขัดแย้งสัมปทานดอนเมืองโทลล์ เวย์ เมื่อปี 2548 โดยบริษัทวาลเทอร์ เบา ฟ้องร้องรัฐบาลไทยให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินประมาณ 30 ล้านยูโร ซึ่งฝ่ายบริษัทเอกชนอ้างว่าเครื่องบินดังกล่าวเป็นสมบัติของรัฐบาลไทย จึงต้องอายัดไว้เพื่อชำระหนี้ ทำให้กระทรวงการต่างประเทศ และอัยการสูงสุดของไทย รีบด่วนไปเมืองมิวนิก เพื่อชี้แจงว่าเครื่องบินลำดังกล่าวไม่ใช่สมบัติของรัฐบาลไทย บริษัทคู่กรณีไม่มีสิทธิ์อายัด อีกทั้งคดีความก็ยังไม่ยุติเพราะอยู่ระหว่างการรอยื่นอุทธรณ์นั้น
ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 15 ก.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อัยการสูงสุดเดินทางไปเยอรมนีเพื่อนำข้อเท็จจริงไปชี้แจงต่อศาล ซึ่งศาลได้รับฟังแล้ว เมื่อเวลา 11.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลาประมาณ 16.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย หวังว่าศาลจะพิจารณาเปลี่ยนคำตัดสิน เพราะที่ผ่านมาศาลเยอรมนีเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเครื่องบินลำนี้เป็นของรัฐบาลไทยซึ่งความจริงไม่ใช่ ทั้งนี้ รัฐบาลไทยประสานงานทุกช่องทางเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุด ขณะที่รัฐบาลเยอรมนีอำนวยความสะดวกทางด้านกฎหมายให้กับฝ่ายไทย และถือว่าเป็นเรื่องของเอกชนที่ไปฟ้องศาลซึ่งฝ่ายบริหารจะเข้าไปแทรกแซงศาลไม่ได้ คิดว่าทุกอย่างน่าจะคลี่คลายได้ ทางกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดแล้วว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระบรมฯ และทรัพย์สินของพระองค์ท่านไม่ควรเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า ส่วนคดีหลักเรื่องการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลไทยนั้นอยู่ระหว่างยื่นอุทธรณ์ที่ศาลนครนิวยอร์ก สหรัฐ อเมริกา ซึ่งเราไม่ทราบว่าจะใช้เวลามากน้อยแค่ไหน แต่ที่ผ่านมาคดีจะใช้เวลามากพอสมควร ขณะนี้ทางอัยการสูงสุดมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในชั้นอุทธรณ์
เมื่อถามว่ารัฐบาลจะแก้ไขปัญหาในอนา คตที่อาจจะถูกอายัดทรัพย์สินของรัฐบาลอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ควรจะมีเรื่องนี้เกิดขึ้นและทางอัยการสูงสุดกำลังดำเนินการ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้เพราะเป็นช่วงรอยต่อของคดีที่ไทยเตรียมยื่นอุทธรณ์ในวันที่ 29 ก.ค.นี้ ตามข้อเท็จจริงแล้วจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องมาอายัดทรัพย์สิน เพราะเมื่อศาลตัดสินอย่างไรหรือให้ประเทศไทยชำระหนี้เราต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว รัฐบาลไม่มีทางหนีไปไหน ทรัพย์สินของรัฐบาลมีอยู่มากมาย และเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ปฏิบัติตาม ดังนั้น ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ทางการเยอรมนีจะต้องมาดำเนินการอะไร
ต่อข้อถามว่ากระทรวงการต่างประเทศตั้งข้อสังเกตว่ากระบวนการการไต่สวนของเยอรมันทำไมไต่สวนฝ่ายเดียว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่อยากไปวิจารณ์กระบวนการยุติธรรม แต่เราก็ข้องใจว่าทำไมถึงไต่สวนฝ่ายเดียว เข้าใจว่าฝ่ายผู้ร้องคงอ้างว่าเป็นเรื่องฉุกเฉินและเป็นมาตรการชั่วคราวที่ดำเนินการอย่างเร่งด่วน อย่างไรตามขณะนี้ภารกิจสำคัญคือให้ถอนอายัดเครื่องบินของพระองค์ท่านเสียก่อน และต่อไปไม่ควรมีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นเพราะเป็นเรื่องของเอกชน
เมื่อถามว่าในฐานะที่เป็นรัฐบาลจะชี้แจงอย่างไรเพราะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกประชาชน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อยากให้ประชาชนทราบว่ารัฐบาลให้ความสำคัญดำเนินการเรื่องนี้เต็มที่ ไม่ว่านายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เอกอัครราชทูตไทยประจำเยอรมนี อัยการสูงสุด และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ขอให้เข้าใจว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลเยอรมนี แต่เป็นเรื่องเอกชนรายหนึ่งที่ไปฟ้องศาลและใช้อำนาจศาล ซึ่งรัฐบาลเยอรมนีไม่มีอำนาจไปแทรกแซงแต่ได้อำนวยความสะดวกอย่างดีให้เราใช้สิทธิ์ทางกฎหมาย ดังนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ส่งผลกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่เอกชนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
วันเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศ ได้แก่ เอพี เอเอฟพี และรอยเตอร์ ต่างนำเสนอข่าวว่า รัฐบาลไทยส่งนายกษิต ไปเยอรมนีเพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าว โดยพบกับนางคอร์นีเลีย พีเพอร์ รมช.ต่างประเทศเยอรมนี เนื่องจากนายกีโด เวสเตอร์เวลล์ รมว.ต่างประเทศเยอรมนี ติดภารกิจอยู่ที่ประเทศเม็กซิโก ซึ่งนางพีเพอร์ กล่าวว่า การเจรจาจะเป็นไปอย่างนิ่มนวล และเป็นมิตร
นายกษิต ยืนยันว่าเครื่องบินที่ถูกยึดจากคดีของบริษัทวาลเทอร์ เบา เยอรมนีนั้น ไม่ใช่ของรัฐบาลไทย อันเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงอันเกิดจากความเข้าใจผิด จึงขอให้มีการถอนอายัดเครื่องบินลำดังกล่าวโดยเร็วที่สุด
ด้านนายอเล็กซานเดอร์ โกร์บิง โฆษกของบริษัทวาลเทอร์ เบา กล่าวว่า เครื่องบินเป็นเป้าหมายทางกฎหมาย โดยพิจารณาตามการขึ้นทะเบียนการบินที่ระบุว่าเป็นทรัพย์สินของรัฐบาลไทย ซึ่งทางศาลได้ดูเอกสารชุดดังกล่าวแล้ว
ขณะที่เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประ เทศเยอรมนีกล่าวว่า รัฐบาลไม่อาจแสดงความเห็นเรื่องเจ้าของเครื่องบินลำนี้ได้ ให้เป็นการตัดสินของเจ้าหน้าที่ฝ่ายกระบวน การยุติธรรม
พล.อ.ต.มณฑล สัชฌุกร โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่าเครื่องบินโบอิ้ง 737-400 ที่ถูกอายัดไว้ที่ประเทศเยอรมนีนั้น ทางกองทัพอากาศได้ตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่า เป็นเครื่องบินที่กองทัพอากาศไทยได้น้อมเกล้าฯ ถวายต่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อปี พ.ศ. 2550 ในช่วงที่พล.อ.อ. ชลิต พุกผาสุข ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ ทำให้สถานะของเครื่องบินลำดังกล่าวไม่ใช่เครื่องบินของทางราชการแต่อย่างใด แต่เป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ท่าน
"กองทัพอากาศยืนยันว่า ไม่ใช่เครื่องบินของราชการ หรือรัฐบาล เพราะได้มีการน้อมเกล้าฯ ถวายไปแล้ว มีหนังสือทูลเกล้าฯ อย่างถูกต้อง ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ขอหนังสือดังกล่าวไปเพื่อนำไปยืนยันกับทางเยอรมนี ซึ่งกองทัพอากาศได้ส่งไปให้เรียบร้อยแล้ว" โฆษกกองทัพอากาศกล่าว
ด้านนายธานี ทองภักดี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า ฝ่ายไทยได้ยื่นคำร้องขอคัดค้านการอายัดเครื่องบินลำดังกล่าวให้ศาลเยอรมนีพิจารณาเอกสารแล้ว และทางศาลได้ให้ฝ่ายบริษัทของเยอรมันยื่นเอกสารไปพิจารณาด้วยเช่นกัน