หมอชี้ “พ่อคูณ” อาพาธเนื่องจากทำงานหนักเกินอายุ หมอสั่งโภชนากรดูแลเพิ่มน้ำหนัก ระดมทีมแพทย์เฉพาะโรคดูแลใกล้ชิด
หลังจากพระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เกิดอาพาธด้วยอาการหนาวสั่น อ่อนเพลีย อาเจียน ฉันอาหารไม่ได้ เนื่องจากต้องรับกิจนิมนต์เป็นเวลานานติดต่อกัน คณะลูกศิษย์จึงหาเข้ารักษาตัวที่ รพ.มหาราชนครราชสีมา เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา ก่อนเข้าพักในห้องพักผู้ป่วยพิเศษ 9821 ชั้น 8 อาคารเฉลอมพระเกียรติ เบื้องต้นแพทย์ตรวจร่างกายพบหลวงพ่อคูณมีน้ำหนักน้อยมากเหลือเพียง 35 กก. และมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด ต้องให้สารอาหารและยาปฏิชีวนะทางสายน้ำเกลือ ท่ามกลางการดูแลอย่างใกล้ชิดของคณะลูกศิษย์และแพทย์พยาบาล และลูกศิษย์โดยทั่วไปแสดงความห่วงใย
เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 26 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานอาการอาพาธ ของพระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
ที่นอนรักษาการอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ว่า ตลอดทั้งคืน หลวงพ่อคูณใช้เวลาส่วนใหญ่นอนพักและหลับสนิท เนื่องจากอ่อนเพลียจากผลการให้ยาปฏิชีวนะทางสายน้ำเกลืออย่างต่อเนื่อง บางเวลาตื่นจากจำวัดก็มีอาการหลงลืมสถานที่ ลูกศิษย์ต้องคอยบอกว่าหลวงพ่อนอนอยู่ รพ. จนกระทั่งเวลา 06.10 น. หลวงพ่อคูณตื่นจากจำวัดด้วยสีหน้าสดชื่นกว่าเมื่อวาน เพราะได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ สามารถพูดคุยถามไถ่กับคณะลูกศิษย์ผู้ดูแลอย่างเป็นกันเอง ก่อนทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ
จากนั้นเวลา 08.00 น. ลูกศิษย์ได้นำภัตตาหารเช้ามาถวายประกอบด้วยเมนูอาหารโปรดของหลวงพ่อหลายอย่าง
เช่น ข้าวสวย แกงจืดเต้าหู้ตำลึง ปลาทอด หมูทอด น้ำพริกปลาทู ผักต้ม และผลไม้เป็นมะละกอสุก หลวงพ่อคูณลุกนั่งโต๊ะฉันข้าวมีลูกศิษย์ต้องคอยตักอาหารป้อน พร้อมอ้อนให้ฉันเยอะ ๆ โดยหลวงพ่อฉันข้าวได้หลายคำ ฉันมะละกอสุก น้ำชาร้อน นมเปรี้ยวยาคูลล์ จนอิ่ม จากนั้นก็บอกให้ลูกศิษย์นำกับข้าวที่เหลือไปแบ่งกันรับประทาน
ต่อมาเวลา 08.40 น. นพ.พินิศจัย นาคพันธ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและหลอดเลือด แพทย์ประจำตัวหลวงพ่อคูณ
พร้อมด้วย นพ.ชัยวิวัฒน์ ตุงคเสรีวัฒน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท เข้าตรวจร่างกายหลวงพ่อคูณ เมื่อแพทย์สอบถามอาการอาพาธเป็นอย่างไร หลวงพ่อตอบเสียงแผ่วเบาว่า ดีแล้ว นอนหลับดี ฉันข้าวได้แล้ว ไม่เป็นไรแล้ว จากนั้นแพทย์ได้แนะนำให้หลวงพ่อฉันอาหารให้มากขึ้น เพื่อฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง เนื่องจากสภาพร่างกายซูบซอมมาก และติดประกาศงดเยี่ยม
นพ.พินิศจัย กล่าวว่า ช่วงนี้ต้องห้ามบุคคลภายนอกเข้าเยี่ยมหลวงพ่อคูณ เกรงจะนำเชื้อเข้ามาแพร่ติดหลวงพ่อเพิ่มเติมอีก
และเพื่อให้หลวงพ่อได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ซึ่งหลวงพ่อยังต้องนอนรักษาตัวอยู่ รพ.อีกหลายวัน อย่างน้อยที่สุดก็ 3 วัน แต่ขณะนี้ในภาพรวมดีขึ้นกว่าตอนที่มาซึ่งมีอาการหนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน ตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว เช้านี้เริ่มฉันอาหารได้มากขึ้น จำวัดได้หลับสนิท ทำให้ตื่นมามีสีหน้าสดชื่น ส่วนอาการติดเชื้อในกระแสเลือดซึ่งมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้คอยดูแลโดยตรง ตอนนี้เริ่มดีขึ้นแล้ว แต่จะเป็นเชื้อประเภทใด ติดเชื้อบริเวณส่วนใดของร่างกาย ยังต้องรอดูผลตรวจละเอียดอีกครั้ง ส่วนตนซึ่งดูแลโรคหัวใจของหลวงพ่อคูณ จากการตรวจละเอียดแล้วก็ยังเหมือนเดิม เป็นปกติดี ไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาเพิ่มเติม
“ตอนนี้ได้ให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำต่อเนื่องอย่างน้อย 3 วัน พร้อมกับรักษาอาการแบบประคับประคอง ช่วงนี้ต้องเฝ้ารอดูอาการตอบสนองต่อการรักษา หวั่นจะมีโรคอื่นเข้ามาแทรกซ้อน วันนี้ต้องเข้าใจว่าหลวงพ่ออายุ 88 ปีแล้ว มีโรคประจำตัวหลายโรค โดยเฉพาะโรคหัวใจที่ผ่านการทำบายพาสมาแล้ว 11 ปี ช่วงหลัง ๆ มาเริ่มมีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะร่วมด้วย ส่วนทางสมองก็เคยเกิดเส้นเลือดสมองตีบและแตกจนต้องผ่าตัด และยังมีปัญหาเรื่องโรคเบาหวาน เวลาติดเชื้อรอบใหม่ก็ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เรื่องนี้ก็มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงเฝ้าดูแลอาการเบาหวานอย่างใกล้ชิด “นพ.พินิศจัย กล่าวและว่า ส่วนเรื่องหลวงพ่อคูณน้ำหนักตัวน้อย เหลือเพียง 35 กก. แพทย์ได้ให้ทางฝ่ายโภชนากรมาช่วยดูแล แต่ที่จริงต้องมาหาสาเหตุว่าน้ำหนักน้อยเพราะอะไร ก็พยายามหาดูแล้ว ก็คงเป็นเพราะอายุท่านมากขึ้น ที่สำคัญช่วงหลังกิจนิมนต์ท่านเยอะเหลือเกิน อาการเปลี่ยนแปลง เป็นหวัด แพ้อากาศ กิจนิมนต์ท่านก็ไม่หยุด ทำให้ท่านอ่อนแรงลงและน้ำหนักลดลงเรื่อย ๆ
ด้าน พญ.สุวรรณี ตั้งวีระพรพงศ์ รอง ผอ.ฝ่ายการแพทย์ รพ.มหาราชนครราชสีมา ออกแถลงการณ์อาการอาพาธหลวงพ่อคูณ ระบุผลการตรวจร่างกายสัญญาณชีพความดันโลหิต 92/52 มิลลิเมตรปรอท ชีพจร 84 ครั้งต่อนาที อุณหภูมิร่างกาย 37.2 องศาสาเหตุอาการอาพาธน่าจะมาจากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ยังไม่สามารถระบุตำแหน่งติดเชื้อได้ ต้องเฝ้ารอดูอาการ และขอความร่วมมืองดการเยี่ยม เพื่อให้หลวงพ่อคูณได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ.