กรมทรัพย์ฯโต้ ภูเขาไฟใต้ทะเล

"เกรงส่งผลให้เกิดสึนามิ"


จากกรณีนายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.ศูนย์ เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยการเปลี่ยนแปลงและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหัวหน้าโครงการศึกษาเสถียรภาพของชั้นตะกอนการเกิดแผ่นดินถล่มใต้ทะเล บริเวณขอบไหล่ทวีปในทะเลอันดามัน ออกมาเปิดเผยว่า ทีมวิจัยใต้ทะเลลึกได้สำรวจพบโคลนภูเขาไฟใต้ทะเล 4 ลูกห่างจากฝั่งภูเก็ตเพียง 200 เมตร โดยมีฐานความกว้างถึง 1 กม. สูง 100 เมตร จนสร้างความแตกตื่นอย่างมาก เพราะเกรงจะส่งผลให้เกิดคลื่นสึนามินั้น

ต่อมาเมื่อวานนี้ (12 ธ.ค.) นายอานนท์ เปิดเผยอีกครั้งว่า สิ่งที่ทีมนักสำรวจทะเลลึกเจอครั้งนี้ เรียกว่า ภูเขาโคลนใต้ทะเล หรือ Mud Volcano ไม่ใช่ภูเขาไฟใต้น้ำอย่างที่เป็นข่าวจนเกิดความสับสน ยอมรับว่าเป็นการด่วนสรุปว่าเป็นภูเขาโคลนใต้ทะเล เนื่องจากเป็นข้อมูลชั้นต้นที่ตรวจวัดจากเครื่องมือหยั่งน้ำแบบหลายความถี่ และการสะท้อนของคลื่นที่วัดจาก Sub-bottom profiler พบว่าจุดที่เป็นภูเขาโคลนนั้นมีความแตกต่างจากพื้นท้องทะเลอื่นๆคือ มีการเรียงตัวของชั้นตะกอน และมีรูปทรงเป็นภูเขาที่มีความสูงตั้งแต่ระดับ 60-100 เมตร อาจจะใช่หรือไม่ใช่ภูเขาโคลนก็ได้ เพราะตราบใดที่ยังไม่มีการลงไปเก็บตะกอน ถ่ายภาพใต้น้ำ หรือศึกษารายละเอียดเชิงลึกมากกว่านี้ยังถือว่าเป็นการคาดการณ์ แต่ที่น่าสนใจเพราะถือเป็นเรื่องใหม่ทางวิชาการ ต้องมีการหาคำตอบเพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูลในอนาคต

"ไม่มีแนวโน้มว่าเป็นภูเขาไฟใต้น้ำ"


นายอานนท์กล่าวต่อว่า สำหรับภูเขาโคลนใต้ทะเลที่พบนั้น สันนิษฐานว่าเกิดจากตะกอนที่มาไหลมาจากแม่น้ำอิระวดี และสาละวินของประเทศพม่า เนื่องจากอยู่ในไหล่ทวีปมะริดของทะเลอันดามัน มีการเคลื่อนตัวมาทับถมในพื้นที่ทะเลจนมารวมเป็นจุดเดียวกันเป็นล้านๆปี เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีแหล่งความร้อนที่สามารถดูดเอาตะกอนมารวมกันได้ ขอยืนยันอีกครั้งว่า ยังไม่มีข้อมูลที่ต้องกังวลว่าจะก่อให้เกิดคลื่นสึนามิหรือมีการปะทุของภูเขาโคลนอย่างแน่นอน เมื่อถามว่า ถ้าศึกษาออกมาแล้วไม่ใช่ภูเขาโคลน จะถือว่าเป็นเรื่องหน้าแตกหรือไม่ นายอานนท์กล่าวว่า ไม่ถือว่าเป็นเรื่องหน้าแตก เพราะการออกมาเปิดเผยครั้งนี้ไม่ได้ต้องการสร้างความแตกตื่น แต่เป็นการเปิดเผยข้อมูลทางวิชาการ

ด้านนายอภิชัย ชวเจริญพันธ์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า จากการพูดคุยกับนักวิชาการที่ร่วมลงไปสำรวจทะเลลึกครั้งนี้ บอกว่าไม่มีแนวโน้มว่าจะเป็นภูเขาไฟใต้น้ำ หรือ ภูเขาโคลนตามที่เป็นข่าวแน่ แต่อาจเป็นเนินตะกอนธรรมดาๆเท่านั้น โดยการสำรวจที่ใช้เครื่องมือสะท้อนสัญญาณขึ้นมาที่ผิวน้ำ ได้เจอเนินแข็งๆ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 ลูก และอุณหภูมิน้ำทะเลก็ไม่ได้สูงกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจุดที่สำรวจยังเป็นบริเวณแคบๆ แต่คาดว่าน่าจะมากกว่า 4 ลูก

"ยันไม่เกิดระเบิดขึ้นแน่นอน"


ขณะนี้กำลังเคลียร์ข้อมูลให้ตรงกัน ซึ่งนักธรณีเชื่อว่า ไม่ใช่ภูเขาไฟหรือภูเขาโคลนใต้น้ำอย่างแน่นอน การพิสูจน์อาจเป็นเรื่องยากเพราะด้วยระดับความลึกของน้ำเกิน 600 เมตร ต้องพึ่งยานสำรวจใต้น้ำเท่านั้น อย่างไร ก็ตาม ข่าวที่ออกไปอาจสร้างความกังวล และกระทบกับการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียง ดังนั้นขอให้สบายใจว่าไม่ใช่ภูเขาไฟใต้น้ำอย่างแน่นอน และถึงแม้จะเป็นแค่เนินธรรมดาที่เป็นของแข็งและเป็นเนินโคลน แต่ก็จะไม่เกิดระเบิดหรือเกิดการปะทุขึ้นมาจะเป็นอันตรายกับประชาชนแต่อย่างใด นายอภิชัยกล่าวและว่า ในวันที่ 13 ธ.ค. เวลา 13.30 น. กรมทรัพยากรธรณี จะแถลงข่าวในเรื่องนี้อีกครั้ง

ทางด้าน จ.ภูเก็ต นายนิรันดร์ กัลยาณมิตร ผวจ.ภูเก็ต กล่าวว่า ยังไม่ทราบผลกระทบจากข่าวพบภูเขาไฟใต้ทะเล อีกทั้งยังไม่ได้รับการยืนยันที่ชัดเจนจากผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่นายไมตรี นฤขัตพิชัย นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต

"ไม่น่ากระทบการท่องเที่ยว"


กล่าวถึงการค้นพบโคลนภูเขาไฟว่า ในความเห็นส่วนตัวข่าวที่เกิดขึ้นนั้นถือเป็นเรื่องที่ไกลตัวค่อนข้างมาก และเป็นเรื่องของธรรมชาติที่เกิดขึ้น การค้นพบนั้นมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และนักท่องเที่ยวก็มีความเข้าใจ จึงถือว่าข่าวนี้ไม่มีผลกระทบกับการท่องเที่ยวแต่อย่างใด และหลังจากมีข่าวนี้ออกมา ยังไม่มีใครพูดถึงเลย

ส่วนนางสุวลัย ปิ่นประดับ ผอ.ททท.ภาคใต้ เขต 4 เปิดเผยว่า ข่าวที่ออกมาไม่มีผลต่อการท่องเที่ยวแต่อย่างใด และยังไม่มีใครพูดถึงในเรื่องนี้ เช่นเดียวกับนางฉวี บุญทับ ผู้ประกอบการริมหาดป่าตอง อ.กะทู้ กล่าวว่า ไม่ค่อยกลัวมากนัก เพราะมีนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญออกมายืนยันว่าจะไม่เกิดสึนามิหรือคลื่นยักษ์แต่อย่างใด ซึ่งผู้ประกอบการหลายคนในหาดป่าตองที่เคยประสบภัยพิบัติสึนามิเมื่อปลายปี 47 ต่างไม่ได้กลัวสิ่งที่ค้นพบในทะเลครั้งนี้เช่นกัน แต่อยากขออย่างเดียวคือ อย่าให้มีนักวิชาการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาระบุหรือชี้ว่า สิ่งที่ค้นพบอาจจะทำให้เกิดคลื่นยักษ์ในอนาคตได้ จะเป็นการทำลายธุรกิจหรือการท่องเที่ยวในฝั่งอันดามันได้

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์