มหันตภัย3โรคร้ายกำพร้ายา..พัฒนาเร็วกว่ามนุษย์
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวอื่นๆ มหันตภัย3โรคร้ายกำพร้ายา..พัฒนาเร็วกว่ามนุษย์
วันละ 2 หมื่นคน คือตัวเลขผู้เสียชีวิตจาก 3 โรคร้าย “มาลาเรีย” “วัณโรค” และ “เอดส์” เมื่อเป็น 3 เชื้อร้ายที่คร่ามนุษย์สูงสุด ทำให้มีการระดมสมองและทรัพยากรมากมายเพื่อกำจัดมันให้สิ้นซาก แต่ดูเหมือนความหวังจะยังริบหรี่ !!
ศ.นพ.ดร.สมชาย จงวุฒิเวศย์ ภาควิชาปรสิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ถึงรายงานการศึกษาและตรวจผู้ป่วยที่ติดเชื้อมาลาเรีย 5,325 รายในประเทศไทย ซึ่งพบเชื้อมาลาเรียสายพันธุ์ใหม่ ชนิดที่ 5 ครั้งแรกในคนไทย คือ "พลาสโมเดียม โนวลิไซ" (Plasmodium knowlesi) ผู้ป่วยโรคมาลาเรียร้อยละ 0.6 จะพบการติดเชื้อมาลาเรียชนิดนี้แฝงอยู่ หรือพบทุก 1 รายใน 200 ราย ปกติเชื้อนี้จะพบในลิงแสมที่น่าสนใจ คือเชื้อมาลาเรียตัวนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับเชื้อตัวเก่า ทำให้แพทย์ส่วนใหญ่วินิจฉัยคลาดเคลื่อน ผู้ป่วยเลยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง เชื้อนี้จึงแพร่ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง และในอนาคตอาจกลายพันธุ์เป็นเชื้อมาลาเรียดื้อยาด้วย
องค์การอนามัยโลกรายงานว่า ทั่วโลกมีผู้เคยติดเชื้อมาลาเรียแล้วไม่ต่ำกว่า 247 ล้านคน เสียชีวิตกว่า 8.8 แสนคน นอกจากนี้ ยังมีผู้ติดเชื้อเอดส์ทั่วโลก 30-36 ล้านคน ส่วนวัณโรคนั้นในแต่ละปีจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ปีละ 9.2 ล้านคน 1 ใน 10 เสียชีวิต ทำให้ “มาลาเรีย” “วัณโรค” และ “เอดส์” คือ 3 เชื้อร้ายที่แพร่ขยายตัวอย่างรวดเร็วไปทั่วทุกพื้นที่ หลายคนอาจคิดว่ามนุษย์สามารถผลิตยารักษาโรคเหล่านี้ได้แล้ว แต่ความจริงที่นักวิทยาศาสตร์ยังทำไม่ได้คือ เชื้อเหล่านี้แข็งแรง และปรับสภาพให้กลายพันธุ์ได้หลากหลายรูปแบบ จนบริษัทยายักษ์ใหญ่ต่างกุมขมับยอมยกธงขาว แล้วหันไปผลิตยารักษาโรคอื่นแทน
นพ.ไมเคิล เอลเลียต รองประธานผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก บริษัทแกล็กโซสมิทไคล์น หรือ จีเอสเค ได้เชิญผู้สื่อข่าวจาก 8 ประเทศในภูมิภาคเอเชียเข้าร่วมฟังบรรยายในวันที่ 4 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เกี่ยวกับปัญหาการผลิตยาและวัคซีน เพื่อต่อสู้กับ 3 โรคร้ายข้างต้น รวมถึงโรคที่ถูกมองข้ามอื่นๆ (Neglected Tropical Diseases) เป็นผลให้ขาดยาที่ใช้รักษาอย่างได้ผล หรือที่เรียกกันในวงการแพทย์ว่า “โรคกำพร้ายา” นอกจาก 3 โรคร้ายข้างต้นแล้ว ยังมีโรคไข้เลือดออก อหิวาต์ เท้าช้าง ฯลฯ
นพ.ไมเคิลบรรยายว่า ทุกวันนี้ประชากรในกลุ่มประเทศยากจนและกำลังพัฒนาตายเพราะ 3 โรคร้ายนี้วันละ 2 หมื่นคน เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงระบบสาธารณสุขและไม่ได้รับยาที่จำเป็นและเหมาะสม นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังเสียชีวิตจากเชื้อดื้อยา เพราะบริษัทยาส่วนใหญ่ไม่ได้วิจัยพัฒนายาใหม่สำหรับโรคเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง สรุปคือ เชื้อร้ายพัฒนาตัวเองให้แข็งแรงขึ้น แต่ยามีประสิทธิภาพเท่าเดิม ดังนั้น การร่วมมือกันเพื่อเร่งผลิตยาตัวใหม่รวมถึงวัคซีนจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ขั้นตอนการคิดค้นต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 12-15 ปี และใช้งบประมาณจำนวนมาก เพราะการผลิตยาหรือวัคซีนแต่ละชนิดต้องใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท ทำให้บริษัทยาหลายแห่งเลิกล้มโครงการผลิตยากำพร้าเหล่านี้เพราะไม่ได้กำไรหรืออาจกำไรน้อย
“จีเอสเคพยายามจะผลิตทั้งยาและวัคซีนเพื่อรักษาโรคร้ายที่ถูกมองข้ามนี้มาหลายสิบปีแล้ว แต่ยอมรับว่ายังไม่สำเร็จ เพราะเชื้อร้ายบางตัวปรับตัวเร็วมาก ยาบางตัวกว่าจะผ่านขั้นตอนวิจัยและทดลองได้ เชื้อตัวนั้นอาจกลายพันธุ์เปลี่ยนเป็นตัวอื่นไปแล้ว ต้องเริ่มต้นใหม่ ขณะนี้มีการตั้งโรงงานวิจัยและพัฒนายาเฉพาะโรคมาลาเรีย วัณโรค และเอดส์ ขึ้นที่เมืองเทรสแคนทอส ประเทศสเปน
ส่วนมาลาเรียนั้น มียารักษาแล้วแต่คนไข้บางรายมีเชื้อที่ดื้อต่อยารักษา ทำให้เชื้อไม่สามารถถูกกำจัดไปได้ ที่ผ่านมามีการศึกษาสารตั้งต้นมากกว่า 13,500 ชนิด บริษัทยาหลายแห่งกำลังทดลองวัคซีนมาลาเรียในแอฟริกา ถ้าโชคดีอาจได้ใช้กับคนไทย ส่วนโรควัณโรคนั้น ปกติคนไข้กินยาต่อเนื่อง 6 เดือนจึงจะหาย แต่ถ้าติดเชื้อวัณโรคที่กลายพันธุ์เป็นวัณโรคดื้อยาหลายขนาน (MDR-TB) หรือวัณโรคดื้อยาสุดๆ (XDR-TB) คนไข้คงต้องเสียชีวิตเพราะทั้งยาและวัคซีนตัวใหม่ยังอยู่ระหว่างการวิจัย ส่วนเอดส์นั้นมีการผลิตยาต้านไวรัสเอชไอวีหลายตัวจนสำเร็จ แต่ยังคงมีการวิจัยวัคซีนป้องกันและรักษาเอดส์ ซึ่งต้องทำวิจัยกันต่อไป” นพ.ไมเคิลสรุปการบรรยาย
วิธีต่อสู้ 3 โรคร้ายนี้ให้ได้ผลนั้น นพ.ไมเคิลแนะนำว่า ต้องเกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานสาธารณสุข องค์การอนามัยโลก บริษัทยา และสถาบันวิจัยในมหาวิทยาลัย ที่สำคัญคือต้องมีการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน
ปัจจุบันผู้อยู่วงการผลิตยา รู้ดีว่าบริษัทยายักษ์ใหญ่ที่มีอยู่ 27 แห่งทั่วโลกนั้น เข็ดขยาดกับการผลิตยารักษาโรคคนจน เพราะถ้าใครคิดจะผลิตยาและวัคซีนรักษาเอดส์หรือวัณโรค ก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการถูกประณาม เหมือนคำกล่าวที่ว่า “ผลิตสำเร็จเป็นฮีโร่ แต่ตอนขายเป็นโจร” เช่น ยาต้านไวรัสเอชไอวี หากขายแพงมาก ก็จะถูกเดินขบวนต่อต้าน และพอผลิตขายได้ไม่กี่ปีก็มีคนลอกเลียนสูตรยาไปขายตัดหน้า สุดท้ายก็ต้องยกลิขสิทธิ์ให้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
ด้วยเหตุผลหลายประการ บริษัทยาหลายแห่งจึงเลือกที่จะผลิตยารักษาคนรวยดีกว่า เช่น ยารักษามะเร็ง หรือยารักษาโรคที่ฝรั่งชอบเป็น เช่น ยาเบาหวาน โรคอ้วน ฯลฯ บริษัทยาบางแห่งอาจเลือกเปลี่ยนแปลงนโยบายการขาย เช่น บริษัทจีเอสเค มีโครงการกำหนดราคายาให้สอดคล้องกับรายได้ของแต่ละประเทศ แม้เป็นยาตัวเดียวกันแต่ขายให้แอฟริกาถูกกว่ายุโรปอย่างน้อย 50% เมื่อยาขายได้มากขึ้น ต้นทุนการผลิตก็ลดลง ในอนาคตคงต้องรอดูว่ากลยุทธ์แบบนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ หากทำได้จริงอาจเป็นแรงจูงใจให้บริษัทยักษ์ใหญ่หันมาสนใจ "โรคกำพร้ายา" มากกว่านี้
เครดิต : ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!


กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
























กระทู้ล่าสุด


รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
















































Love illusion ความรักลวงตา เพลงที่เข้ากับสังคมonline
Love illusion Version 2คนฟังเยอะ จนต้องมี Version2กันทีเดียว
Smiling to your birthday เพลงเพราะๆ ไว้ส่งอวยพรวันเกิด หรือร้องแทน happybirthday