ศาลสั่งจำคุก“เปมิกา”54 เดือน เรียกคืนเงินกว่า 8ล้าน ฐานร่วมกับเพื่อนตุ๋นทรัพย์“หมอเผ่า”บรรลุอรหันต์
วันนี้ (26 ต.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีดำ อ.4543/2550 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 และ รศ.เพลินจิต ทมทิตชงค์ มารดาของ นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ผู้เสียหายที่ 1 เจ้าของสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ ฟิสิกส์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.เปมิกา หรือศิวพร หรือสิริรัษสิริ หรืออุ๋ย วีรชัชรักษิต หรือเหลืองเรณูกุล อายุ 28 ปี , น.ส.ฤทัย หรือแนน รุ่งสิริเมธากุล อายุ 26 ปี , นายณัฐพล หรือภาสยภูริณฐ์ หรือตั้ม พรมประไพ อายุ 31 ปี , และนายวทัญญู หรือปุ้ย ตันธีระพงศ์ อายุ 30 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนนักศึกษา น.ส.เปมิกา ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1- 4 ในความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงโดยอาศัยความอ่อนแอแห่งจิตของผู้ถูกหลอกลวง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 , 342 , 83 , 81 โดยฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 50 ระบุความผิดสรุปว่า
เมื่อระหว่างเดือนต.ค. 49 - ก.พ. 50 นพ.ประกิตเผ่า ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งมีความอ่อนแอแห่งจิต ผิดปกติทางด้านภาวะจิตใจ เป็นโรคจิตอารมณ์แปรปรวน หลงผิดแยกไม่ได้ว่าข้อมูลใดเป็นจริงข้อมูลใดเป็นเท็จ ขาดความยับยั้งชั่งใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีผู้อื่นชักจูง ได้หลงเชื่อตามคำหลอกลวงและการสร้างสถานการณ์ของจำเลยทั้งสี่ โดยเข้าใจว่าตนเองสามารถนั่งสมาธิจนสำเร็จญาณขั้นสูง สามารถระลึกชาติ ถอดจิตได้ มีอำนาจจิตที่บุคคลธรรมดาไม่ สามารถจะทำได้ และยังเชื่อว่า จำเลยที่ 1 มีความสามารถนั่งสมาธิจนสามารถเข้าสู่ฌานและสามารถระลึกชาติได้เช่นกัน โดยพวกจำเลยได้ร่วมกันสร้างสถานการณ์หลอกลวงผู้เสียหายให้เข้าใจว่า จำเลยที่ 1 และผู้เสียหายที่ 1 เคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน 99 ภพชาติที่ผ่านมามีหนี้กรรมต้องชดใช้ในชาตินี้ จึงขอให้ผู้เสียหาย ซื้อรถยนต์โตโยต้า คัมรี่ สีดำมูลค่า 1,569,000 บาทให้จำเลยที่ 1 และมอบเงินจำนวน 980,000 บาท เพื่อซื้อแผ่นป้ายทะเบียน สห-9999 รวมทั้งซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์และทรัพย์สินอื่นรวม 10 รายการ มูลค่า 9,658,000 บาท
เหตุเกิดที่แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน, แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร , ต.งามวงศ์วานอ.เมือง จ.นนทบุรี , ตำบลศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เกี่ยวพันกัน โดยจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบแล้วเห็นว่า ฝ่ายโจทก์มี โจทก์ร่วม , ผู้เสียหายที่ 1, นางอลิสา ภรรยา นพ.ประกิตเผ่า ผู้เสียหายที่ 2 มาเบิกความถึงการเปลี่ยนแปลงของ นพ.ประกิตเผ่า ทางด้านจิตใจ ที่หมกมุ่นนั่งสมาธิและถอดจิตไปยังสถานที่ต่างๆได้ จนคิดว่าตนเป็นผู้มีอำนาจวิเศษบรรลุโสดาบัน เคยเป็นขุนศึกของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และมีอาการหวาดระแวงว่าจะมีผู้อื่นมาทำร้ายจนมารดาและพี่ชายต้องวางแผนนำนพ.ประกิตเผ่า เข้ารักษาที่ รพ.ศรีธัญญา อันเกิดจากการที่จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันสร้างสถานการณ์จน นพ.ประกิตเผ่าหลงเชื่อ และได้ทรัพย์สินไปมูลค่า 9 ล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นรายได้ส่วนกลางของครอบครัวที่ได้มาจากสถาบันกวดวิชา นอกจากนี้โจทก์ยังมีแพทย์จากสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ที่รักษา เบิกความสอดคล้องกับพยานข้างต้นว่า เริ่มรักษา นพ.ประกิตเผ่า ตั้งแต่เดือนมี.ค. – พ.ค. 2550 โดยมีคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจพบว่าเป็นโรคอารมณ์ 2 ขั้ว คิดว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ ถ้าได้รับการกระตุ้นจากภายนอกแล้วเกิดอาการคุ้มคลั่งก็จะกลายเป็นโรคจิต
ศาลเห็นว่า พยานโจทก์ซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดสังเกตอาการผิดปกติได้ดี ซึ่งกระทบต่อชื่อเสียงและหน้าที่การงาน หากผู้เสียหายที่ 1 ไม่มีอาการดังกล่าว ก็ไม่มาจะมาเบิกความทำให้เสื่อมเสีย ส่วนพยานที่เป็นแพทย์ก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับคู่ความ และไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เชื่อว่าเบิกความไปตามขั้นตอน ไม่น่าเชื่อว่าพยานโจทก์จะเบิกความเพื่อปรักปรำจำเลย
ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าหลังจากจำเลยทั้ง 4 ได้รู้จักและทราบว่าผู้เสียหายที่ 1 มีความเชื่อในพุทธศาสนาจึงร่วมกันสร้างเรื่องให้ผู้เสียหายที่ 1 เชื่อว่าเป็นผู้วิเศษต่าง ๆ เคยเผาบ้านของจำเลยที่ 1 มีภาระที่จะต้องชดใช้ทรัพย์สินคืนเพื่อให้บรรลุโสดาบัน และผู้เสียหายที่ 1 กำลังถูกปองร้ายจึงต้องจ้าง รปภ. ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า ไม่เคยสร้างสถานการณ์หลอกลวงเอาทรัพย์สิน เพราะผู้เสียหายที่ 1 มอบให้ด้วยความเสน่หาในลักษณะชู้สาวที่พัฒนามาจากความรักนั้น หากเป็นเรื่องจริงจำเลยที่ 1 น่าจะมีพยานหลักฐานมายืนยัน เห็นว่าเป็นการเบิกความลอยๆ ซึ่งจำเลยทั้งสี่ เป็นผู้ที่มีการศึกษาสูงน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆนั้นไม่มีอยู่จริง จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานหลอกลวงด้วยข้อความอันเป็นเท็จเพื่อเอาทรัพย์สินผู้อื่น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยจำเลยที่ 1 ได้ทรัพย์สินไปจำนวนมากน้อยเพียงใด เห็นว่า จากการกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้ได้ให้ได้ทรัพย์สินไปรวม 7 รายการ คือ ให้ผู้เสียหายที่ 1 เบิกเงินในบัญชีธนาคาร จำนวน1,560,000 บาท ซื้อรถยนต์โตโยต้าคัมรี่ และเงินจำนวน 980,000 บาท ซื้อป้ายทะเบียนเลขสวย 2.นาฬิกาข้อมือยี่ห้อโรเล็กซ์ มูลค่า 245,000 บาท 3. แหวนเพชร มูลค่า 145,000 บาท 4.อาวุธปืน 2 กระบอก ที่ซื้อให้จำเลยที่ 1 ป้องกันตัวโดยมอบให้จำเลยที่ 3 และ 4 ไว้ รวมเป็นเงิน 130,000 บาท 5.ค่าเช่าคอนโดมิเนียมโนเบิลไลฟ์ ที่เช่าให้จำเลยที่ 1 พักอาศัยเนื่องจากถูกหลอกว่าเมื่อชาติที่แล้วผู้เสียหายที่ 1 ได้เผาบ้านจำเลยที่ 1 ไป มูลค่า 150,000 บาท 6.เงินมัดจำซื้อบ้าน มูลค่า 250,000 บาท และ7.เงินจำนวน 4,568,000 บาท ที่นำไปซื้อแคชเชียร์เช็คจำนวน 33 ฉบับ โดยจำเลยที่ 1 นำไปเข้าบัญชีตัวเองและชำระหนี้ให้มารดา ส่วนทรัพย์สินอีก 3 รายการประกอบด้วยสร้อยคอและพระเลี่ยมทอง, ค่าย้ายคณะของจำเลยที่ 1 จากคณะอักษรศาสตร์ไปคณะจิตวิทยา และค่าเช่าคอนโดผู้รักษาความปลอดภัย นั้นโจทก์ไม่พยานหลักฐานเพียงพอ ดังนั้นจำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฉ้อโกงและพยายามฉ้อโกง ม.341 ประกอบ ม.30 แต่ไม่ผิดฐานฉ้อโกงโดยอาศัยความอ่อนแอเพราะผู้เสียหายที่ 1 ไม่ได้มีอาการผิดปกติมาตั้งแต่ต้นแต่เป็นการหลอกลวงโดยการสร้างสถานการณ์
ส่วนจำเลยที่ 2-4 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดหรือไม่เห็นว่าจากพยานหลักฐานที่นำสืบไม่ได้แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2-4 ได้รับทรัพย์สินจากจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2-4 เป็นการร่วมการอาศัยความเชื่อสร้างสถานการณ์ทำให้ผู้เสียหายที่ 1 หลงเชื่อ จึงเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวก ไม่ใช่การแบ่งหน้าที่กันทำเสมือนเป็นตัวการร่วม จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฉ้อโกงและพยายามฉ้อโกง ตาม ม.341 ประกอบ ม.30, 80, 86 การกระทำของพวกจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมให้เรียงกระทงลงโทษ พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ฐานฉ้อโกงทรัพย์ 7 กระทงๆละ 6 เดือน ฐานพยายามฉ้อโกง 3 กระทงๆละ 4 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 54 เดือน ( 4 ปี 6 เดือน) ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2-4 ฐานสนับสนุนให้ฉ้อโกง 7 กระทงๆละ 4 เดือน ปรับกระทงละ 3,000 บาท ฐานสนับสนุนให้ผู้อื่นพยายามฉ้อโกง 3 กระทงๆละ 2 เดือน 20 วัน ปรับกระทงละ 2,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 2 - 4 คนละ 34 เดือน 60 วัน(3 ปี) ปรับคนละ 27,000 บาท แต่จำเลยที่ 2-4 ประกอบอาชีพการงานมั่นคงและไม่เคยต้องโทษอาญามาก่อน พฤติการณ์เป็นเพียงผู้สนับสนุนโทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้กระทงละ 2 ปี และให้จำเลยที่ 1 - 4 ร่วมกันคืนทรัพย์สินจำนวน 8,035,387 บาทคืนให้กับโจทก์ร่วมและผู้เสียหาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนฟังคำพิพากษา น.ส.เปมิกา พร้อมด้วยมารดา และเพื่อน ๆ เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยความสบายใจ โดยกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า มั่นใจกับพยานหลักฐานที่นำสืบ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล
ต่อมาญาติได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินย่านพญาไท ราคาประเมิน 2,655,000 บาท ขอประกันตัว