เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ในฐานะผู้ฟ้องคดีมาบตาพุดร่วมกับชาวบ้าน 43 รายเปิดเผยว่า
การที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (บอร์ดสิ่งแวดล้อม) มีมติกำหนดโครงการประเภทรุนแรงจำนวน 11 เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมานั้น ถือว่าเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติโดยชัดเจนเป็นการกระทำตามหน้าที่ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากไม่ถือแนวทางของเสียงส่วนใหญ่ของภาคประชาชนทั่วประเทศที่มีมติให้มีโครงการหรือกิจกรรมประเภทรุนแรงเบื้องต้นตามรัฐธรรมนูญจำนวน 18 โครงการหรือมากกว่า ซึ่งคณะกรรมการ 4 ฝ่ายได้สรุปเสนอต่อนายกรัฐมนตรีมาแล้ว มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯดังกล่าวจึงถือเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของกฎหมายและความต้องการของประชาชน สมาคมฯจำต้องร่วมมือกับชาวบ้านทั่วประเทศ เพื่อฟ้องร้องต่อศาลปกครองเพื่อให้ยกเลิกมติ หรือคำสั่งดังกล่าวเสียในเร็ววัน
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การลุกลี้ ลุกลน เร่งรีบสรุปโครงการโดยไม่ฟังเสียงของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย
ถือเป็นการกระทำที่ผิดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพียงเพื่อให้หน่วยงานรัฐใช้เป็นข้ออ้างในศาลเพื่อให้ผู้ประกอบการใช้เป็นเครื่องมือหลีกเลี่ยงการไม่ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรคสองเท่านั้น เพราะถ้าไม่ฟังเสียงของประชาชนทั่วประเทศแล้วจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้ไปทำไม และจะไปเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นประชาชนซึ่งต้องหมดเงินภาษีประชาชนไปจำนวนมากเพื่ออะไร มิสู้นั่งกำหนดโครงการกันเองในห้องสี่เหลี่ยมมิดีกว่าหรือ
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ในวันที่ 26 สิงหาคมนี้เวลา 13.00 น. ศาลปกครองกลางได้มีหมายมายังผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้องคดีรวมทั้งผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด เพื่อให้ไปไต่สวนพิจารณาคดีครั้งสุดท้าย
ซึ่งสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ได้จัดเตรียมข้อมูลไว้เพื่อปิดคดีในวันดังกล่าวแล้ว พร้อมจะชี้ให้ศาลเห็นว่าปัญหาความเดือดร้อนและเสียหายของประชาชนในพื้นที่มาบตาพุด-บ้านฉางและใกล้เคียงในอดีตมาจนถึงปัจจุบันนั้นมีสภาพเป็นเช่นไร พร้อมทั้งจะแฉพฤติการณ์ของหน่วยงานรัฐและรัฐบาลให้ศาลเห็นว่า ไม่ได้มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาของชาวบ้านเลยและละเมิดกฎหมายอย่างไร อีกทั้ง 76 โครงการในพื้นที่มาบตาพุด-บ้านฉางและใกล้เคียงเหมาะสมที่จะเป็นโครงการประเภทรุนแรงตามที่ศาลปกครองชั้นต้นได้เคยมีคำสั่งไว้แล้วอย่างไร รวมทั้งการชี้ให้ถือบรรทัดฐานของศาลรัฐธรรมนูญที่ได้เคยมีคำวินิจฉัยที่ 3/2552 ไว้แล้วเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2552 งานนี้ไม่จบกันง่าย ๆ เหมือนรัฐบาลคิด ต้องเป็นมหากาพย์แห่งความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐบาลนายทุนกันต่อไป