ฮือฮามีลูกค้าแห่ฮัลโหลติดต่อขายตุ๊กแกยักษ์กับนายทุนรับซื้อเพียบ
โวมีตุ๊กแกน้ำหนัก 3 ขีดขึ้นไปต้องการหลายสิบตัว ขณะที่เสี่ยนายทุนเด้งลูกรับให้ถ่ายรูปส่งผ่านโทรศัพท์มือถือมาดูขนาดให้ชัดเจนกับตา ย้ำหากมีขนาดตามที่ต้องการ ยินดีซื้อตามราคาที่ลั่นวาจาไว้ชัวร์ ด้าน แพทย์เตือนการนำตุ๊กแกไปรักษาโรคร้าย ยังไม่เป็นที่ยอมรับในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์
จากกรณีเกิดเรื่องราวฮือฮาเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตว่า มีพ่อค้ารับซื้อตุ๊กแก มี น้ำหนักตั้งแต่ 3 ขีด (300 กรัม) ขึ้นไป
ส่งไปขายให้กับพ่อค้ารับซื้อชาวมาเลเซีย เพื่อต้องการนำเซลล์ส่วนหางของตุ๊กแก ไปสกัดเป็นส่วนผสมเป็นยารักษาโรคเอดส์ และมะเร็ง สนนราคาตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักแสนบาท ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 17 ส.ค. นายจิรายุสต์ หรือบังบ่าว หรือเสี่ยต๊ะ เอียดตรง อายุ 42 ปี อยู่บ้านไม่มีเลขที่ หมู่ 4 ต.โพรงจระเข้ อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง นายทุนรับซื้อตุ๊กแกส่งขายประเทศเพื่อนบ้าน กล่าวว่า หลังจากมี ข่าวทางหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ปรากฏว่ามีคนโทรศัพท์ติดต่อประสานมาหลายราย ในจำนวนนี้มีนายวิโรจน์ บุญรัตน์ประพันธ์ อายุ 21 ปี อาชีพค้าขาย อยู่บ้านเลขที่ 14 หมู่ 2 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม โดยบอกว่ามีตุ๊กแกน้ำหนัก 3 ขีดขึ้นไปหลายสิบตัว และอยากขายให้กับตน จึงให้ถ่ายรูปส่งผ่านมาทางโทรศัพท์มือถือ เพื่อจะได้ดูขนาดที่ชัดเจน และหากมีจริงตามที่ได้พูดไว้ ตนยินดีจะซื้อในราคาตามน้ำหนักของตุ๊กแก
อาทิ น้ำหนัก 3.2 ขีด ราคา 13,000 บาท น้ำหนัก 3.5 ขีด ราคา 20,000 บาท น้ำหนัก 4 ขีด ราคา 30,000 บาท น้ำหนัก 4.5 ขีด ราคา 40,000 บาท น้ำหนัก 5.2 ขีด ราคา 60,000 บาท และน้ำหนัก 1 กก. ราคา 200,000 บาท ทั้งนี้เนื่องจากมียอดสั่งซื้อมาจากพ่อค้าชาวมาเลเซีย และชาวไต้หวัน ที่ต้องการจะนำเซลล์ส่วนหางของตุ๊กแกไปสกัดทำยารักษาโรคเอดส์และโรคมะเร็ง จึงมีการประกาศรับซื้อขายผ่านทางอินเทอร์เน็ตด้วย แต่ถ้าหากผู้ใดสนใจต้องการขายตุ๊กแก สามารถโทรฯติดต่อมาได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 08-8386-2795 ตลอด 24 ชม.
แห่ขายตุ๊กแกรับซื้อไม่อั้น
ด้าน นายณัฐวุฒิ สังขาว อายุ 33ปี อยู่บ้านเลขที่ 60/1 หมู่ 9 ต.ในควน อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง กล่าวว่า ตนพร้อมเพื่อนบ้านยังคงออกตระเวนจับตุ๊กแก
เพื่อส่งขายให้กับนายหน้า เพื่อนำไปขายต่อให้กับชาวต่างชาติ โดยตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ใช้เวลาช่วงกลางคืนออกเดินหาตามรอบ ๆ ป่าในหมู่บ้าน ตามต้นไม้ และมุมบ้าน และสามารถจับตุ๊กแกได้แล้วกว่า 30 ตัว แต่พบว่ายังไม่ได้ขนาดน้ำหนักตามที่นายทุนต้องการคือ 3 ขีดขึ้นไป แต่ที่จับได้มีขนาดอยู่ประมาณ 2 ขีดกว่า ๆ เท่านั้น
ขณะที่ นายแพทย์พไพศาล เกื้ออรุณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน กล่าวว่า
จากกระแสข่าวการซื้อขายตุ๊กแกในราคาสูง จนกลายเป็นที่สงสัยของประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับความอันตรายของ ตุ๊กแก และเรื่องของเซลล์ส่วนหางของตุ๊กแก ว่าสามารถนำไปใช้เป็นส่วนผสมของยารักษาโรคเอดส์และโรคมะเร็งนั้น ในทางการแพทย์ จะมีการรักษาอยู่ 2 แบบ คือ 1.แพทย์แผนมาตรฐานที่มีการรักษาได้ผลไม่น้อยกว่า 95% และ 2.การรักษาด้วยแพทย์ทางเลือก แต่วิธีแพทย์ทางเลือกยังไม่เป็นที่รับรองในเรื่องของวิทยาศาสตร์การแพทย์
นายแพทย์พไพศาล กล่าวต่อว่า การที่ชาวบ้านหรือชาวต่างชาติ
นำตุ๊กแกไปเป็นส่วนผสมในการรักษาโรคต่าง ๆ จึงยังไม่เป็นที่ยอมรับในเรื่องของวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่จะสามารถรักษาโรคให้หายหรือได้ผลเกิน 95% และก่อนหน้านี้เคยมีกระแสข่าวที่ชาวบ้านนำจิ้งจกมาใช้เป็นตัวยารักษาโรค แต่ก็เป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคล ที่สามารถรักษาโรคได้ หรือเป็นวิธีแพทย์ทางเลือกอีกอย่างหนึ่ง
“ส่วนประเด็นที่ผู้สื่อข่าวถามว่า ตุ๊กแกจะมีอันตรายหรือเปล่า ถ้าหากมีการนำมารับประทานโดยไม่ถูกวิธี ขอตอบว่า โดยปกติชาวไทยในภาคอีสาน มักจะนิยม นำตุ๊กแกมาทำเป็นอาหารในรูปแบบต่าง ๆแต่ที่สำคัญก่อนนำมารับประทานควรทำตุ๊กแกให้สุก ไม่อย่างนั้นก็จะส่งผลให้ผู้ รับประทานเกิดโรคเกี่ยวกับโรคพยาธิ และโรคแบคทีเรีย ซึ่งโรคเหล่านี้มักจะพบติด ต่อมาจากสัตว์เลื้อยคลานเป็นส่วนใหญ่” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน กล่าวทิ้งท้าย
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในพื้นที่บ้านตาล อ.นาหว้า จ.นครพนม เป็นแหล่งผลิตตุ๊กแกตากแห้งส่งขายต่างประเทศมานานแล้ว
โดยพ่อค้าจะไปซื้อตุ๊กแกตามบ้านของชาวบ้านที่จับได้ตามธรรมชาติ หรือสถานที่เพาะเลี้ยง ในราคาตัวละ 2-5 บาท เพื่อนำมาตากแห้งส่งไปขายไต้หวัน ในราคาคู่ละ 50 บาท เพื่อนำไปทำยาบำรุงร่างกาย และถือเป็นรายได้ส่งออกต่างประเทศของชาว อ.นาหว้า อีกด้วย.