นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคขาดสารไอโอดีนแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2553 เมื่อ 19 ก.ค.ว่า ที่ประชุมมีความเห็นตรงกันว่า ไอโอดีนมีผลต่อการพัฒนาไอคิวของคน เพราะไอโอดีนมีผลในการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งมีผลต่อการสร้างใยสมองและการเจริญเติบโตทางร่างกาย หากทารกที่เกิดมาขาดสารไอโอดีนอาจเป็นโรคปัญญาอ่อน หรือมีปัญหากระทบต่อสภาพร่างกายได้ ดังนั้นไอโอดีนมีความสัมพันธ์กับไอคิวของมนุษย์
นายจุรินทร์ กล่าวว่า จากผลการสำรวจไอคิวของคนไทย โดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สว.รส.) เมื่อปี 2552 จากกลุ่มตัวอย่าง 6,000 ราย ใน 21 จังหวัด
พบไอคิวเฉลี่ยอยู่ที่ 91 ซึ่งไอคิวเฉลี่ยสากลอยู่ที่ 90-110 ขณะเดียวกันผลการสำรวจพัฒนาการสมวัยในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบมีพัฒนาการสมวัยลดลงเรื่อยๆ โดยปี 2542 มีพัฒนาการสมวัยร้อยละ 72 ปี 2547 ร้อยละ 71 และปี 2550 ลดลงเหลือร้อยละ 67 ส่วนในปี 2553 อยู่ระหว่างการสำรวจ
เพราะฉะนั้น แนวทางแก้ปัญหาจะต้องให้ความสำคัญกับไอโอดีนอีกครั้ง
โดยเน้นการแก้ปัญหาในองค์รวม ที่สำคัญที่สุดจะเน้นการเสริมไอโอดีนในเกลือและอาหารที่คนไทยรับประทานประจำวัน เช่น น้ำปลา ซีอิ๊ว ได้มอบให้กรมอนามัยไปทำการศึกษาถึงความเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ นโยบายขององค์การอนามัยโลกต้องการให้ทุกประเทศในโลก กำหนดนโยบายเกลือผสมไอโอดีนอย่างถ้วนหน้า คือต้องดำเนินการให้เกลือไอโอดีนกระจายให้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้ประชากรในชาติขาดไอโอดีน ซึ่งประเทศไทยวัฒนธรรมการบริโภคต่างจากประเทศอื่นๆ ทางยุโรป เพราะเรามีการบริโภคน้ำปลา อาจจะเสริมไอโอดีนได้ด้วย
สำหรับเกลือขณะนี้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแล 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข มีประกาศของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในปี 2537 กำหนดให้เกลือบริโภคจะต้องมีไอโอดีนไม่น้อยกว่า 30 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัม หากไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามนี้จะมีโทษ เช่น การผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายจะมีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือถ้ามีการกำหนดฉลากที่ไม่ถูกต้องปรับไม่เกิน 30,000 บาท เป็นต้น