สุพรรณบุรีดอดถกเฉิงตูขอครอบครัวแพนด้าย้ายซบ

เกิดกระแสข่าว "ครอบครัวแพนด้า" เตรียมย้ายที่อยู่จากเชียงใหม่มาที่สุพรรณบุรี หลังผู้แทนระดับสูงดอดเจรจาถึงเมืองเฉิงตู ขณะที่ "โสภณ" ระบุยังไม่ทราบเรื่อง แต่อย่าเพิ่งกังวลใจ...

จากกรณีที่มีกระแสข่าวออกมาว่าแพนด้าหลินปิง ได้ถูกทาบทามให้เปลี่ยนไปอยู่ที่ จ.สุพรรณบุรี โดยมีการจัดส่งผู้แทนระดับสูงของจังหวัดพร้อมทั้งภาคเอกชนและสื่อมวลชนเดินทางไปยังนครเฉิงตู มณฑลเสฉวน สาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อทำสัญญาประสานความร่วมมือเป็นเมืองพี่เมืองน้องกับ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งในที่ประชุมมีการหยิบยกถึงความเป็นไปได้ว่า ทาง จ.สุพรรณบุรี มีความพร้อมทุกด้านที่จะรองรับความร่วมมือของการเจรจาในครั้งนี้ โดยมีการเสนอเรื่องแพนด้าขึ้นมาในการประชุมร่วมกันด้วย หากมีแพนด้ามาอยู่ที่ จ.สุพรรณบุรี ก็จะเป็นการสร้างสีสัน และกระตุ้นการท่องเที่ยวแบบหยั่งยืนขึ้นมาได้ ซึ่ง ทางฝ่ายจีนก็มีการให้ความหวังว่า แพนด้าช่วงช่วง หลินฮุ่ย และหลินปิง จะยังอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ต่อนั้น

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 20 ก.ค. นายประเสริฐศักดิ์ บุญตระกูลพูนทวี หัวหน้าโครงการวิจัย และส่วนจัดแสดงแพนด้าในประเทศไทย

 กล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่าหลินปิงกำลังนับถอยหลังอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ และจะย้ายไปอยู่ที่ จ.สุพรรณบุรีว่า เรื่องนี้ตนไม่เคยทราบมาก่อน แต่ในความเห็นส่วนตัวเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ หากมีการเดินทางไปเจรจาจริง แต่อย่าลืมว่าที่นครเฉิงตู มณฑลเสฉวน มีศูนย์วิจัยแพนด้าอยู่ 2 แห่ง ช่วงช่วง หลินฮุ่ย มาจากศูนย์วิจัยและอนุรักษ์แพนด้าหวู่หลง หากมีการขอแพนด้ามาจริงๆ ก็คงไม่ใช่หลินปิง ซึ่งการเจรจากันจะมีระดับรัฐมนตรี หรือรัฐบาลในการที่จะนำแพนด้าไปอยู่ที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้ตนยังไม่ทราบมาก่อน แต่หากพูดถึงความเป็นไปได้ ก็ต้องดูการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐก่อน

ด้านนายโสภณ ดำนุ้ย ผอ.องค์การสวนสัตว์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน แต่คงเป็นไปไม่ได้ การไปเจรจากันก็คงเป็นแค่ระดับมณฑลเท่านั้น ไม่ได้เจราจาถึงระดับรัฐมนตรี

 จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ และที่สำคัญการสร้างสูนย์วิจัยฯ ขึ้นมาจะต้องมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญแพนด้า เหมือนกับทีมวิจัยฯของสวนสัตว์เชียงใหม่ ซึ่งการทำวิจัยแพนด้า จะต้องมีความพร้อมที่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้อีกไม่กี่วันทางรัฐมนตรีกระทรวงป่าไม้จีนก็จะเดินทางมาเจรจาเรื่องนี้การที่จะให้หลินปิงอยู่ประเทศไทยต่อไปหรือไม่อย่างไร ก็ขอให้ชาวเชียงใหม่อย่ากังวลใจในเรื่องนี้