ฉีดวัคซีนผสม3สายพันธุ์รับมือหวัดใหญ่ระบาดทั่วโลก

 

คมชัดลึก : เมื่อสถานการณ์จาก "เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009 เอช1 เอ็น1" เริ่มคลายลง วัคซีนที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สั่งซื้อจากประเทศฝรั่งเศสจำนวน 2 ล้านโดส ก็ไม่ได้รับความสนใจจากประชาชน แม้พยายามรณรงค์เพียงใดก็ตามแต่วัคซีนดังกล่าวก็ยังเก็บค้างไว้จำนวนมากหรือประมาณเกือบ 5 แสนโดส


ล่าสุดกรมควบคุมโรคได้สั่งซื้อ "วัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล" เพิ่มอีก แต่คราวนี้เป็นวัคซีนรวม 3 สายพันธุ์คือ 

ไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ เอช 3 เอ็น 2, ไข้หวัดใหญ่ ชนิด บี และ ไข้หวัดใหญ่ 2009 เอช1 เอ็น1 เพื่อฉีดให้แก่กลุ่มเสี่ยง ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป จนกลุ่มเสี่ยงต่างสับสนว่า ผู้ที่ไปฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 เมื่อ 2-3 เดือนที่แล้วควรไปฉีดวัคซีน 3 สายพันธุ์นี่อีกหรือไม่ และจะซ้ำซ้อนมีอันตรายต่อร่างกายอย่างไร


นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลก ประธานคณะยุทธศาสตร์และแผนในการต่อสู้โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

อธิบายว่า วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่ส่งเสริมให้ประชาชนฉีดตั้งแต่ต้นปีที่แล้วนั้น สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ผู้ได้รับการฉีดทั้งหมดประมาณร้อยละ 90 แต่จะมีอีกร้อยละ 10 ที่ร่างกายอาจไม่สร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา ถือเป็นเรื่องสถิติปกติ หากใครไม่มั่นใจจะไปฉีดซ้ำก็ได้ ดังนั้น กลุ่มเสี่ยงที่เคยฉีดวัคซีน 2009 แล้วจะไปฉีดวัคซีนรวม 3 สายพันธุ์หรือที่เรียกว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลก็สามารถทำได้ โดยไม่มีผลข้างเคียงอันตรายต่อร่างกาย


"ผมขอแนะนำให้ฉีดซ้ำได้เลย เพราะวัคซีนรวม 3 สายพันธุ์เข็มนี้ จะเป็นสายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่ที่กำลังระบาดทั่วโลกในปีนี้ หรือปี 2010 คือ ไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ เอช3 เอ็น2 และไข้หวัดใหญ่ชนิดบีรวมอยู่ด้วย ในแต่ละปีองค์การอนามัยโลกจะกำหนดให้ผลิตวัคซีนสำหรับเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ ไม่เหมือนกัน เปลี่ยนไปทุกปี  ถ้าใครไปฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่2009 แล้ว ก็ให้ไปฉีดวัคซีนรวม 3 สายพันธุ์ได้อีก ไม่ต้องกลัวว่าจะซ้ำซ้อนหรือเป็นอันตราย เพราะร่างกายมนุษย์จะกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น และช่วยป้องกันเชื้ออีก 2 ชนิดด้วย เพราะตามสถิติทั่วโลก 100 คน จะฉีดวัคซีนครั้งเดียวสำเร็จ หรือทำให้ร่างกายสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันเต็มที่ได้เพียง 90 คน อีก 10 คนถ้าได้ฉีดวัคซีนตัวเดิมซ้ำก็จะดีกว่า กลายเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้รัฐบาลสั่งซื้อไปแล้ว 2.1 ล้านโดส เตรียมฉีดให้คนทั่วไป 1.7 ล้านคน บุคลากรทางการแพทย์ 4 แสนคน" นพ.ทวีกล่าว


สำหรับผลข้างเคียงต่อร่างกายนั้น ศ.นพ.อมร ลีลารัศมี ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อและอายุรศาสตร์เขตร้อน จากศิริราชพยาบาล

อธิบายว่า โดยปกติแล้ววัคซีนเพื่อป้องกันโรคทุกชนิด จะมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายมนุษย์ได้ไม่เท่ากัน บางคนกระตุ้นได้มากถึง 80-100% บางคนกระตุ้นได้เพียง 20% แต่โดยส่วนใหญ่ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันได้ประมาณ 60-70% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ควบคุมเชื้อโรคตัวนั้นได้ ดังนั้นการฉีดวัคซีนตัวเดียวซ้ำ เช่น ไข้หวัดใหญ่ 2009 หากฉีดแล้วร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ 70%ขึ้นไปก็ถือว่าปลอดภัย แต่การฉีดซ้ำเข็มที่ 2 อาจทำให้กระตุ้นเพิ่มเป็น 80-100%ได้ และถ้าร่างกายกระตุ้นสูงสุดได้ 100%แล้ว วัคซีนที่ฉีดซ้ำก็ไม่มีประโยชน์อะไร คนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงควรไปฉีดเพราะเชื้อไวรัสตัวนี้เข้าไปถึงหลอดลมเร็วมาก เป็นเชื้อหวัดอันตราย


"ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ไม่ได้เป็นห่วงเรื่องการฉีดวัคซีน แต่เป็นห่วงการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส 2009 เพราะกลัวว่าเชื้อเอช1 เอ็น1 จะไปรวมตัวกับเชื้อไวรัสไข้หวัดนก เอช5 เอ็น1 เนื่องจากธรรมชาติของเชื้อไวรัสจะกลายพันธุ์ตลอดเวลา เช่น ยีนตัวเล็กลง ยีนตัวยาวขึ้น ขายาวขึ้น แขนสั้นลง ฯลฯ แต่ตราบใดที่ยีนตัวที่ปล่อย "สารยับยั้งภูมิต้านทานโรค" ยังไม่เปลี่ยนแปลงก็ถือว่าปลอดภัย ยังไม่กลายพันธุ์ และหากเป็นเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่กลายพันธุ์แล้ว ก็ต้องเฝ้าดู 3 จุดสำคัญคือ 1.ทำลายภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์มากน้อยเพียงไร 2.ทำลายเซลล์อย่างรุนแรงหรือไม่ และ 3.สามารถระบาดได้เร็วแค่ไหน แต่ผลการติดตามล่าสุดพบว่า เชื้อหวัด 2009 ยังไม่กลายพันธุ์มากนัก และยังไม่มีการผสมกับเชื้อไวรัสหวัดตัวอื่น เพราะถ้ากลายพันธุ์วัคซีนที่ซื้อมาก็ไม่ได้ผล" นพ.ทวีกล่าว


สำหรับประชาชนที่คิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยง หรือมีเหตุจำเป็นที่ต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่รวม 3 สายพันธุ์

สามารถไปรับบริการได้ที่โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขใกล้บ้าน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2553 เป็นต้นไป ราคาเข็มละ 300 บาท แต่ในโรงพยาบาลเอกชนราคาอาจเพิ่มเป็น เข็มละ 500-900 บาท ส่วนผู้ที่เคยฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 มาแล้ว ก็ขอให้เว้นช่วงระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 เดือน จึงสามารถฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำฤดูกาลได้


ข้อมูลจาก สธ. ระบุว่า ตั้งแต่ 11 มกราคม- 4 มิถุนายน 2553 หน่วยงานสาธารณสุขฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009  ให้แก่ 9 กลุ่มเสี่ยงแล้ว 1,509,042 คน

ได้แก่ 1.บุคลากรสาธารณสุข 3 แสนคน 2.กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ 3.4 หมื่นคน 3.กลุ่มคนอ้วนน้ำหนักเกิน 100 กิโลกรัมจำนวน 3.2 หมื่นคน 4.กลุ่มผู้พิการรุนแรง 1.5 หมื่นคน 5.กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 6.5 แสนคน 6.กลุ่มอาสาสมัคร 2 แสนคน 7.สมาชิกครอบครัวของกลุ่มเสี่ยง 6.9 หมื่นคน 8.คนที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม 1.7 แสนคน และ 9.กลุ่มอื่นๆ 2.7 หมื่นคน


ขณะเดียวกัน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีมติสั่งซื้อวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์จำนวน 2.1 ล้านโดส มูลค่า 500 ล้านบาท โดยกลุ่มเป้าหมายคือ 9 กลุ่มเสี่ยงข้างต้น แต่เน้นเรื่องความสมัครใจและให้บริการฟรี และเพิ่มเด็กอายุ 6 เดือน-2 ปี รวมถึงผู้สูงอายุเกิน 65 ปี ก็มารับบริการฉีดวัคซีนตัวนี้ได้เช่นกัน


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์