สธ.วิจัยขนาด "เจ้าโลก" ชายไทย เพื่อหาขนาดที่แท้จริง โดยเฉพาะ ในกลุ่มวัยรุ่น
หลังพบช่วงหลังคนไทยขอถุงยางอนามัยขนาดใหญ่ขึ้น หัวหน้ากลุ่มโรคเอดส์ฯเผยขนาดอวัยวะเพศชายมีผลต่อประสิทธิภาพการใช้ถุงยางอนามัย โดยทำมาครึ่งปี มีคนตอบแบบสอบถามกว่า 3,000 คน ชี้เลือกใช้ผิดขนาดส่งผลอารมณ์ทางเพศลด ขณะเดียวกัน สธ.ก็ทุ่มงบ 260 ล้านบาท พลิกโฉมโรงพยาบาลในสังกัด เน้นลดเวลารอคอยหมอ พร้อมเปลี่ยนเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ประจำ รพ. เป็นสีฟ้าอ่อน มีลาย ใบหน้าคนยิ้ม 3 สี ประเดิมทำ 12 ส.ค.นี้
สำนักโรคเอดส์ฯ กระทรวงสาธารณสุข ห่วงสถานการณ์การติดเชื้อเอดส์ในไทย ผู้ติดเชื้ออายุน้อยลงเรื่อยๆ
ทำให้ต้องมีการวิจัยหาขนาดอวัยวะเพศเพื่อจัดทำถุงยางอนามัยที่มีขนาดเหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของถุงยางอนามัยในการใช้ป้องกันโรคร้ายในครั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.ว่า ได้รับการเปิดเผยจาก นพ.สมยศ กิตติมั่นคง หัวหน้ากลุ่มโรคเอดส์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ว่า ตามที่ทางสำนักโรคเอดส์ฯ รณรงค์แจกสายวัดขนาดอวัยวะเพศชาย เพื่อใช้ช่วยเลือกซื้อถุงยางอนามัยให้ถูกขนาดตามอวัยวะเพศของตนเอง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของถุงยางอนามัยในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมทั้งแก้ปัญหาถุงยางอนามัย ลื่นหลุดระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ และหากสวมใส่ขนาดที่เล็กไปจะทำให้เกิดการบีบรัด ซึ่งในช่วงวันเอดส์โลก 1 ธ.ค. 2552 ทางสำนักโรคเอดส์ฯได้มีการทำแบบสำรวจขนาดอวัยวะเพศชายไทยในกลุ่มวัยรุ่นควบคู่ไปด้วย โดยสำรวจผ่านทางเว็บไซต์ aidsthai.org
หัวหน้ากลุ่มโรคเอดส์ฯกล่าวว่า การที่ต้องสำรวจขนาดอวัยวะเพศชาย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของเด็กไทย
อีกทั้งพบว่าการแจกถุงยางอนามัย ซึ่งโดยปกติจะแจกถุงยางอนามัยขนาด 49 มม. แต่ช่วงหลังมักมีการขอขนาด 52 มม.อยู่เป็นประจำ จึงจำเป็นจะต้องสำรวจขนาดที่แท้จริงของชายไทย เพื่อใช้ประกอบการรณรงค์ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่อไป โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะสำรวจเป็นเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2552-1 ธ.ค. 2553 ซึ่งขณะนี้มีผู้เข้ามาทำแบบสอบถามแล้วกว่า 3,000 คน
สธ.พิลึก-วิจัย ขนาดเจ้าโลก ของชายไทย
หัวหน้ากลุ่มโรคเอดส์ฯกล่าวต่อไปว่า ขั้นตอนในการสำรวจนั้น จะให้ผู้ที่สนใจเข้ามาดาวน์โหลดสายวัดขนาดอวัยวะเพศชายจากเว็บไซต์ดังกล่าว
และให้กรอกแบบสอบถามในเว็บไซต์ ซึ่งข้อมูลจะถูกเก็บเป็นความลับ ยอมรับว่าข้อมูลที่ได้มาบางส่วน อาจจะไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นความจริง แต่ก็จะทำให้มีข้อมูลที่เป็นพื้นฐานเพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการทำวิจัยเชิงลึก เพื่อหาทางรณรงค์การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นต่อไป เพราะปัจจุบันพบว่าอายุของผู้ที่เป็นโรคเอดส์จากการมีเพศสัมพันธ์ต่ำลงอยู่ที่ 13 ปี ซึ่งถือว่าน้อยมาก ขณะเดียวกันยังจะช่วยแก้ปัญหาในกรณีที่ถุงยางอนามัยหลุดติดคาอยู่ในอวัยวะเพศหญิง ซึ่งได้รับรายงานจากโรงพยาบาลหลายแห่งว่ามีผู้หญิงมาพบแพทย์เพื่อให้ช่วยดึงถุงยางอนามัยออกเยอะมาก โดยสาเหตุหนึ่งมาจากการใช้ถุงยางอนามัยที่มีขนาดใหญ่เกินไป ทั้งนี้การที่มีสิ่งแปลกปลอมหลุดติดอยู่ในอวัยวะเพศหญิงจะเกิดผลเสียแน่นอน คือ จะเกิดเชื้อแบคทีเรียส่งผลให้อวัยวะเพศเน่าได้
"การวิจัยขนาดอวัยวะเพศชายเป็นสิ่งที่ทำกันทั่วโลก ในประเทศไทยเท่าที่มีข้อมูลก็เคยมีการทำสำรวจมาแล้ว 1 ครั้ง แต่เป็นการสำรวจในกลุ่มชายที่เที่ยวหญิงบริการเท่านั้น แต่ครั้งนี้จะเป็นการสำรวจที่เน้นในกลุ่มวัยรุ่นทั่วไป และเมื่อได้ผลสรุปแล้วพบว่าวัยรุ่นไทยมีขนาดอวัยวะเพศที่ใหญ่ขึ้นหรือเล็กลง ก็จะมีการประสานไปยังบริษัทที่ผลิตถุงยางอนามัย เพื่อผลิตถุงยางอนามัยสำหรับวัยรุ่นโดยเฉพาะขึ้นมา ซึ่งเรื่องนี้ในประเทศญี่ปุ่นมีการผลิตถุงยางอนามัยเพื่อวัยรุ่นขึ้นมาแล้ว" นพ.สมยศกล่าวและว่า การใส่ถุงยางอนามัยใหญ่เกินขนาด อาจทำให้รู้สึกไม่กระชับ ลื่นหลุดได้ระหว่างมีเพศสัมพันธ์ และหากมีขนาดที่เล็กไปจะทำให้เกิดการบีบรัด อึดอัด ซึ่งทั้ง 2 กรณีจะทำให้เกิดความกังวล และอาจส่งผลทำให้ความรู้สึกทางเพศลดลงได้ เป็นสาเหตุทำให้ไม่อยากสวมใส่ ส่งผลต่อการป้องกันเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งหากเลือกถุงยางอนามัยในขนาดที่เหมาะสมจะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้
นอกจากนี้ ในวันเดียวกัน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงโครงการพลิกโฉมโรง พยาบาลยุคใหม่
ที่จะมีการเปลี่ยนเครื่องแบบใหม่ของเจ้าหน้าที่ประจำโรงพยาบาล สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ที่จะทำหน้าที่ต้อนรับและแนะนำการเข้ารับบริการให้ สะดวก รวดเร็วขึ้น ตามนโยบายปรับโฉมการให้บริการ โครงสร้างและระบบ หรือ 3 เอส ที่จะใช้ใน รพ.กว่า 10,679 แห่งทั่วประเทศ โดยเครื่องแบบใหม่นี้จะใช้ผ้าสีฟ้าอ่อน มีลายใบหน้าคนยิ้ม 3 สี กระโปรงและกางเกงสีดำ ซึ่งโครงการฯจะแล้วเสร็จและเริ่มพร้อมกันในวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคมนี้ ซึ่งนอกจากเสื้อผ้าแล้ว จะปรับอาคารสถานที่ให้ทันสมัย สะดวกและสะอาด ด้วยงบปรับปรุง 260 ล้านบาท โดยระบบทั่วไปจะเน้นเรื่องลดเวลาในการรอคอย มีระบบการนัดหมายกับแพทย์ที่ชัดเจน รวดเร็ว ไม่ต้องรอนาน มีระบบคอลเซ็นเตอร์ ตลอด 24 ชั่วโมง และขยายเวลาเปิดคลินิกนอกเวลาให้ครอบคลุมตลอดทุกวัน และโรงพยาบาลทุกแห่งต้องเปิดตู้รับฟังความเห็นและเปิดรับกระทู้ทางเว็บไซต์เพื่อพัฒนาระบบ ซึ่งจะมีคณะกรรมการพัฒนาระบบ ที่จะประกันคุณภาพและประเมินผลทุก 3 เดือน