"รสนา" ยื่นรัฐเบรกขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี-เอ็นจีวี พร้อมยุตินำเงินกองทุนน้ำมันชดเชย อัดกลุ่มปิโตรเคมีโยนภาระให้ประชาชน
วันนี้ (15 มิ.ย.) ที่รัฐสภา น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพมหานคร ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุติแนวคิดที่จะปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และก๊าซเอ็นจีวี รวมทั้งการใช้กองทุนน้ำมันไปชดเชยการนำเข้าก๊าซแอลพีจีและเอ็นจีวี เนื่องจากในวันที่ 28 มิ.ย.นี้ ทราบว่าจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกฯ เป็นประธานการประชุม ซึ่งมีวาระพิจารณาการขึ้นราคาก๊าซดังกล่าว
น.ส.รสนา กล่าวต่อว่า ทาง กมธ. จึงเสนอว่า ขณะนี้กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีเป็นผู้ใช้ที่ทำให้ปริมาณก๊าซแอลพีจีที่ผลิตได้ในอ่าวไทยไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนโดยรวม จึงควรให้กลุ่มปิโตรเคมีเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย สำหรับการนำเข้าก๊าซแอลพีจี ไม่ใช่ผลักภาระให้ประชาชน และการที่รัฐบาลนำเงินกองทุนน้ำมันไปชดเชยการนำเข้าก๊าซแอลพีจีเป็นการใช้ที่ผิดวัตถุประสงค์ของกองทุน รัฐบาลต้องควบคุมราคาก๊าซแอลพีจีที่จำหน่ายให้กับประชาชน ทั้งภาคครัวเรือนและยานยนต์ในระดับที่เหมาะสม ไม่ปล่อยให้ราคาก๊าซลอยตัวตามราคาตลาดโลก เนื่องจากปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ขุดเจาะได้ในประเทศมีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการอยู่แล้ว
"สำหรับกรณีของก๊าซเอ็นจีวีที่ บจม. ปตท. เสนอแนวทางให้เพิ่มราคาขึ้น 6 บาท โดยให้ประชาชนแบกรับภาระเพิ่มขึ้นอีก 4 บาท โดยจ่ายหน้าปั๊ม 2 บาท และจ่ายผ่านกองทุนน้ำมัน 2 บาท จึงเห็นว่าทาง ปตท.ไม่มีกลไลในการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ตามตลาดเสรีการผลิตและจำหน่าย และไม่เคยเสนอราคาที่เป็นธรรมว่า ควรเป็นจำนวนเท่าไหร่ นอกจากนี้รัฐบาลต้องทวงคืนท่อส่งก๊าซธรรมชาติจาก ปตท.ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดให้ครบถ้วนตามการตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หากกระทรวงการคลังไม่จัดการทวงคืนทรัพย์สินดังกล่าว ทาง กมธ.จะฟ้องร้องกระทรวงการคลังต่อไป.