เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก ชาวนา ม.12 ต.ลำตาเสา อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา
ว่าแปลงนาข้าวเสียหายจำนวนมากเพราะน้ำมีความเค็มมากจนทำให้พื้นนากลายเป็นเกลือ จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบนายสำราญ ไวยคงคา อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 56 ม.12 ต.ลำตาเสา ชี้ให้ดูสภาพความเสียหายของแปลงข้าวนาปรังจำนวนกว่า 1,000 ไร่ ที่ชาวนา 30 ครัวเรือนในตำบล ใช้เป็นพื้นที่ทำนาได้รับความเสียหายเพราะน้ำที่นำมาใช้ในการทำนามีสภาพความเค็มสูงจัด จนพื้นดินเป็นคราบเกลือ อันเนื่องมาจากเจ้าของบ่อดินเอกชนหลายรายในตำบล ขุดบ่อดินขนาดใหญ่ บ่อละ 200 ไร่ จำนวน 4 บ่อ และสูบน้ำก้นบ่อดินซึ่งเป็นน้ำเค็ม เพื่อสะดวกต่อการขุดดินก้นบ่อขาย โดยสูบน้ำเค็มทิ้งลงแหล่งน้ำสาธารณะ และคลองไดนกยาง ที่ไหลลงคลองชลประทานสาย 4 ซึ่งเป็นลำคลองสายหลักของชาวนาในการใช้น้ำเพื่อการเกษตรทำนาปรัง
นายสำราญ กล่าวว่า ชาวนาได้รับความเดือนร้อนจากปัญหาน้ำมีสภาพความเค็มสูงมานานเกือบ 2 ปี ช่วงนี้เข้าหน้าแล้ง
พบว่าสภาพความเค็มของน้ำมีเพิ่มมากขึ้นทำให้เกิดปัญหาเพิ่มมากขึ้นอีก ชาวนาได้รับความเดือนร้อน ร้องเรียนไปหลายหน่วยงานแต่ไม่ได้รับการแก้ไขไม่รู้จะทำอย่างไร สำหรับน้ำที่มีสภาพความเค็มจัดไหลมาตามคลองสาธารณะ เมื่อน้ำไหลเข้านาหรือชาวนาสูบน้ำเข้านาเพื่อเตรียมดิน พอน้ำแห้งเกลือจะตกผลึกฉาบหน้าดินในท้องนา เหมือนมีคนเอาเกลือไปโรยไว้บนผิวดินในท้องนา เมื่อหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวไป ต้นข้าวจะไม่งอกขึ้นมา หรือหากแปลงนาไหนต้นข้าวที่งอกมาแล้วแต่ได้รับน้ำดังกล่าว จะไม่เจริญเติบโต ไม่ออกรวง และแห้งตายแบบยกแปลง
นายสำราญ กล่าวอีกว่า ตอนนี้พวกชาวนาต้องแก้ไขด้วยการรวมกลุ่มกันไปสูบน้ำจากคลอง 5 ขวา ที่ห่างไป 2 กม.
และมีต้นทุนเป็นค่าน้ำมันจากการสูบดึงน้ำมากขึ้น 3-4 เท่าตัว ซึ่งคิดคำนวณแล้วแทบไม่คุ้มกับการทำนาแล้ว เชื่อว่าหากสภาพเป็นแบบนี้ต่อไป ทั้งเอกชน และส่วนราชการไม่ยอมที่จะแก้ไขปัญหา พวกเราคงจะต้องเดินทางไปหา นายวิทยา ผิวผ่อง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อแจ้งให้เข้ามาช่วยเหลือเป็นการด่วน