กรมวิทย์ฯ วิจัยพบ 'ผงไหม' มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคผิวหนัง ต้านอักเสบ และอนุมูลอิสระ เผยเบื้องต้นได้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เช่น สบู่ ลิป และเจลล้างหน้า พร้อมต่อยอดพัฒนาเป็นยา คาดประมาณปลายปี 53 จะสรุปผลการวิจัยได้
เมื่อวันที่ 17 ก.ย. นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ใยไหมเป็นเส้นใยธรรมชาติที่นำมาใช้ประโยชน์ในด้านสิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่ม ปัจจุบันมีการพัฒนาโดยนำเส้นไหม รังไหม และเศษเหลือใช้จากเส้นไหมมาแปรรูปเป็นผงไหม โดยผงไหมมีส่วนประกอบของโปรตีน 2 ชนิด คือ ซิริซิน (Sericin) ซึ่งอยู่ชั้นนอกของเส้นไหม และไฟโบรอิน (Fibroin) ที่อยู่ภายในเส้นใยไหม ผงไหมไทยมีคุณสมบัติที่ดีต่อผิวพรรณ ดูดความชื้น และเก็บน้ำได้ดี มีกรดอะมิโนมากถึง 18 ชนิด ช่วยเพิ่มสารอาหารให้เซลล์ที่สร้างคอลลาเจน และอีลาสตีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญทำให้ผิวพรรณคงความเต่งตึง มีความยืดหยุ่น และชุ่มชื้น นอกจากนี้ ผงไหมยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์อย่างอื่น เช่น ใช้เป็นเครื่องสำอาง เป็นอาหารเสริม เครื่องดื่ม หรือทำเป็นวัสดุทางการแพทย์สำหรับรักษาแผล ทางการเกษตรใช้ทำวัสดุคลุมแปลงพืช ป้องกันวัชพืชที่มีคุณสมบัติสลายได้ และใช้เป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ เป็นต้น
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่อว่า ทีมนักวิจัยจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สถาบันหม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ร่วมกันศึกษาวิจัย และพัฒนาผงไหมเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ พบว่า ผงไหมมีสรรพคุณทางยา คือ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง ฤทธิ์ต้านการอักเสบ และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ในเบื้องต้นได้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เช่น สบู่ไหม และเจลล้างหน้าไหม มีคุณสมบัติช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่เสื่อมสภาพ และช่วยยืดอายุของเซลล์ปกติ ทำให้ผิวชุ่มชื้น ลดการอักเสบของผิวหนัง และลิปสติกไหมช่วยรักษาความชุ่มชื้นของริมฝีปาก ปกป้องริมฝีปากจากความแห้งกร้าน นอกจากนี้ ทีมนักวิจัยกำลังศึกษาเร่งศึกษาวิจัยในด้านการพัฒนาผงไหมป็นผลิตภัณฑ์ทางยา คาดว่า ประมาณปลายปี 2553 จะสามารถสรุปผลการวิจัยได้.