นายมานิตเปิดเผยว่า ผู้ต้องหาที่ให้บริการจัดฟันแฟชั่น จะมีความผิดรวม 3 ข้อหา
คือ 1.ความผิดตาม พ.ร.บ.วิชาชีพทันตกรรม พ.ศ. 2537 ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรมทำการประกอบอาชีพทันตกรรม มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 2.ความผิดตาม พ.ร.บ.สถาน พยาบาล พ.ศ. 2542 ห้ามมิให้บุคคลใดประกอบกิจการสถานพยาบาล เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากผู้อนุญาต ถ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดสถานพยาบาล แต่เปิดร้านจัดฟันแฟชั่นให้บริการ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ 3.ความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 โดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ออกคำสั่งห้ามขายสินค้าลวดดัดฟันแฟชั่นเป็นการถาวร ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า การดัดฟันแฟชั่น หากไม่มีข้อบ่งชี้ แต่ไปดัดฟันหรือจัดฟันถือว่าไม่มีประโยชน์ อาจเกิดอันตราย
โดยเฉพาะถ้าผู้ให้บริการไม่ใช่ทันตแพทย์ ที่ผ่านมามีนักเรียน-นักศึกษา ไปใช้บริการจำนวนมากเพราะราคาถูก ดังนั้น สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ โดยจะประสานไปยังกระทรวง ศึกษาธิการ (ศธ.) แจ้งไปยังครูประจำชั้นโรงเรียนทั่วประเทศ ให้ตรวจดูว่ามีเด็กนักเรียนในชั้นเรียนจัดฟันหรือไม่ หากพบมีการจัดฟันแฟชั่น ให้ครูประจำชั้นแจ้งให้เด็กไปขอใบรับรองจากทันตแพทย์ที่ให้บริการจัดฟันมาให้ดู หากไม่มีใบรับรองมาแสดง ครูต้องทำหนังสือแจ้งไปยังผู้ปกครอง ให้พาลูกหลานไปเอาเหล็กดัดฟันแฟชั่น ออกภายใน 30 วัน ขอฝากไปยังผู้ปกครองว่าควรสอบถามลูกหลานด้วยว่าไปจัดฟันแฟชั่น ที่ไหน หากไม่ได้ทำโดยทันตแพทย์ควรแนะนำให้ไปเอาออก เพราะมีความเสี่ยงสูงมาก
นายมานิต กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ สธ. ได้สั่งการไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศ
ให้ออกตรวจตราและจับกุมร้านจัดฟันแฟชั่นที่ให้บริการโดยหมอฟันเถื่อน และให้ดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ขณะเดียวกันจะประสานไปยังแพทยสภา เพื่อประสานไปยังทันตแพทย์ ทั่วประเทศในการออกใบรับรองให้กับเด็กนัก เรียนที่จัดฟันด้วย สำหรับร้านจัดฟันที่จับกุมได้วันนี้ จะขยายผลต่อไปว่าสั่งซื้ออุปกรณ์จัดฟันมาจากที่ใด มีใบอนุญาตหรือไม่ เพราะจากการตรวจสอบในร้านพบใบรับรองนำเข้าเครื่องมือแพทย์ของบริษัทหนึ่ง ซึ่งผู้ต้องหาอ้างว่าเป็นผู้จำหน่ายอุปกรณ์จัดฟันให้ โดยจะประสานให้ นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป