ขนิษฐาเจ้าชายจิกมี ประสูติกาลโอรส ปลอดภัยในรพ.ไทย

พระสวามีในเจ้าหญิงชิมี ยังซัม วังชุก พระราชธิดาในสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน กับสมเด็จพระราชินีอาชิ เซริง วังชุก พระมเหสีองค์ที่ 2 และทรงเป็นพระขนิษฐาต่างพระมารดาของเจ้าชายจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก มกุฎราชกุมารภูฏาน ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประสูติกาลของพระโอรสในเจ้าหญิงชิมี ยังซัม วังชุก ที่ห้องรับรองโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท เมื่อค่ำวันที่ 31 ส.ค. ว่า เจ้าหญิงชิมี ยังซัม วังชุก ทรงมีพระประสูติกาลพระโอรส เมื่อเวลา 10.11 น. วันที่ 30 ส.ค. โดยทั้งพระโอรสและเจ้าหญิงทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ดี

รู้สึกดีใจที่สุดในชีวิตที่ได้เป็นพระบิดาแล้ว ที่สำคัญ ประสูติกาลครั้งนี้ถือเป็นประสูติกาลพระราชนัดดาพระองค์แรกของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก นับเป็นความปลาบปลื้มปีติยินดีอย่างยิ่ง โดยขณะนี้พระราชวงศ์ทุกพระองค์แห่งราชวงศ์ภูฏาน ล้วนปลาบปลื้มปีติยินดีอย่างยิ่งที่พระองค์หญิงทรงมีพระประสูติกาลครั้งนี้

ได้ถวายพระนามแด่พระโอรสหรือยัง ดาโช ซังเก วังชุก กล่าวว่า ยังมิได้มีการตั้งชื่อคงต้องรอให้เจ้าหญิงเสด็จกลับประเทศภูฏานก่อน ซึ่งแพทย์ให้ความเห็นว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อปรับสภาพความดันอากาศในช่องพระกรรณของพระโอรส ให้ปลอดภัยหากต้องเสด็จกลับภูฏานโดยเครื่องบิน

มกุฎราชกุมารจิกมีทรงทราบข่าวที่น่ายินดีแล้วหรือยัง ดาโช ซังเก วังชุก กล่าวว่า ทรงรับทราบแล้วแต่ยังไม่ได้เสด็จมาเยี่ยม เพราะมกุฎราชกุมารจิกมีเสด็จนิวัตภูฏาน ซึ่งคงจะได้มีโอกาสพบพระองค์ที่ประเทศภูฏาน เมื่อเจ้าหญิงเสด็จกลับในอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้า

ที่เจ้าหญิงชิมีทรงเลือกมีพระประสูติกาลที่ รพ.สมิติเวช ประเทศไทย ว่า เพราะพระองค์หญิงเองก็ประสูติที่นี่ โดยแพทย์คนเดียวกันเป็นผู้ทำคลอดคือ พ.ญ.นิศารัตน์ กษัตรีย์ ซึ่งเป็นแพทย์ที่น่ารักมากและพระองค์ทรงประทับใจ อีกทั้งราชวงศ์ภูฏานเกือบทั้งหมด เวลาประชวรก็จะเสด็จ มารักษาพระองค์ที่เมืองไทยอยู่แล้ว เพราะประเทศไทยกับประเทศภูฏานมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด อีกทั้งคนไทยมีอัธยาศัยดี ล่าสุดทราบว่าคนไทยรักมกุฎราช กุมารจิกมีมาก ยิ่งทำให้รู้สึกรักและผูกพันกับเมืองไทยมากขึ้น

พบกับเจ้าหญิงชิมีได้อย่างไร ดาโช ซังเก วังชุก กล่าวว่า ได้พบกับเจ้าหญิงในช่วงที่พระองค์ทรงศึกษาที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ต้องขอขอบคุณคนไทยทุกคนที่เป็นห่วงและติดตามข่าวอันน่ายินดีของราชวงศ์ภูฏานครั้งนี้

ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ดีมาก มีน้ำหนักพระองค์เมื่อประสูติถึง 3,535 กรัม หรือประมาณ 3.5 กิโลกรัม โดยเจ้าหญิงและพระสวามีจะยังคงประทับอยู่ที่โรงพยาบาลสมิติเวชอีกประมาณ 2 สัปดาห์ จึงจะเสด็จกลับภูฏาน และในสัปดาห์หน้าพระองค์จะประทานภาพถ่ายพระโอรสและพระราชวงศ์อย่างเป็นทางการผ่านสถานทูตภูฏานในประเทศไทย

แหล่งที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ