เมื่อเวลา 08.0 น. วันที่ 14 ก.ค. ที่ บช.น. พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น.รับผิดชอบงานจราจร กล่าวถึงกระแสข่าวรถตู้โดยสารที่มีการปฏิเสธไม่รับผู้โดยสารที่สวมหน้ากากอนามัยป้องกันหวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009
การปฏิเสธไม่รับผู้โดยสารจะเป็นความผิด ไม่ว่าจะเป็นรถตู้โดยสาร หรือ รถแท็กซี่ หรือรถขนส่งใดก็ตาม แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่กรณีรับผู้โดยสารคนนั้นแล้วน่าจะเป็นอันตรายกับผู้โดยสารคนอื่น เช่น คนเป็นโรคเรื้อน โรคติดต่อร้ายแรง ก็สามารถปฏิเสธ แต่การจะพิสูจน์ว่าผู้โดยสารคนนั้นเป็นโรคหรือเป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ได้ ตนอยากจะขอความเห็นใจกับทั้งสองฝ่าย ทางฝ่ายผู้ขับขี่รถรับจ้างก็ต้องดูว่าคนที่ใส่หน้ากากอนามัยทุกคนไม่ใช่ว่าจะเป็นโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 เสมอไป คนที่สวมใส่หน้ากากอนามัยหลายคนเพื่อป้องกันตัวเองและป้องกันไม่ให้ไปเผยแพร่ให้กับคนอื่น ถือว่าผู้โดยสารรายนั้นๆ มีการป้องกันตัวเองและป้องกันไม่ให้ไปแพร่ให้กับผู้อื่น มีการป้องกันเอาไว้แล้ว ควรที่จะต้องรับขึ้นรถโดยสารได้
พล.ต.ต.ภาณุ กล่าวว่า ส่วนผู้โดยสารที่รู้ตัวหรือมีอาการที่น่าเชื่อว่าจะเป็นหวัด อันจะไปแพร่ให้ผู้โดยสารคนอื่นได้ ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงอย่าใช้รถรับจ้างสาธารณะ
ผู้ขับขี่เมื่อเห็นว่ามีอาการเหล่านี้ เช่น น้ำมูกน้ำตาไหล ตาฉ่ำ มีอาการจาม ไอ เหล่านี้ก็สามารถที่จะปฏิเสธที่จะให้บริการได้ เช่นเดียวกับทางร้านเกมหรือร้านคอมพิวเตอร์ที่ติดประกาศไม่ให้บริการแก่คนที่เป็นหวัด รถตู้รถโดยสารเองก็อาจจะทำป้ายประกาศติดไว้ที่ประตูรถเลยก็จะเป็นการดีทั้งสองฝ่าย
รอง ผบช.น. กล่าวต่อว่า สำหรับผู้โดยสารที่สวมหน้ากากอนามัย ซึ่งไม่มีอาการไข้หวัดใดๆ
หากถูกปฏิเสธไม่ให้โดยสารรับจ้างสาธารณะไม่ว่าจะเป็นรถตู้ รถแท็กซี่ สามารถแจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ใกล้เคียงให้จับกุมดำเนินคดีในข้อหาปฏิเสธรับผู้โดยสาร ซึ่งมีอัตราโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 93 วรรคหนึ่ง ผู้ขับขี่รถแท็กซี่ ปฏิเสธไม่รับจ้างบรรทุกคนโดยสารโดยไม่มีเหตุอันควร ถือเป็นความผิด มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท และเป็นข้อหาที่ต้องถูกบันทึกคะแนน 20 คะแนน ถูกยึดใบอนุญาตขับขี่ 15 วัน ทั้งนี้ผู้โดยสารที่ถูกรถแท็กซี่ปฏิเสธ ก็ควรรักษาสิทธิของตน จดจำทะเบียนและชื่อคนขับที่ติดอยู่ในใบอนุญาตหน้ารถ แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โทร. 1584 ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ หรือ โทร. 1197 กองบังคับการตำรวจจราจร