พายุหมุนถล่มพังยับ! วัดโบราณสมัยกรุงเก่า

พายุถล่มวัดโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา พระประธาน "หลวงพ่อขาว" หักกระจายหลายท่อน ตลอดจนพระพุทธรูปอีก 9 องค์ เจดีย์รายรอบหลวงพ่อพังเสียหายอีก 4 องค์ ชาวบ้านลือกรุแตกบุกจะเข้าไปขุดค้นเครื่องราง แต่เจอจนท.สกัดไว้ได้ทัน เผยเป็นวัดร้าง เดิมชื่อวัดท่าทราย ประวัติศาสตร์ระบุเป็นที่อยู่พระมหานาค ผู้แต่งฉันทบุรโณวาท กล่าวถึงพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศนมัสการพระพุทธบาท ปัจจุบันเป็นพื้นที่เดียวกับวัดราชประดิษฐาน

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 8 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งพระครูประดิษฐ์กิจจารักษ์ เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐาน ว่า

มีพายุพัดถล่มวัด ตั้งอยู่ริมถนนอู่ทอง ต.หัวรอ อ.พระนครศรีอยุธยา เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบว่าวัดอยู่ติดกับชุมชนตลาดหัวรอ บริเวณที่เกิดเหตุเป็นวัดร้าง เดิมชื่อวัดท่าทราย ซึ่งเป็นวัดร้างตั้งอยู่ทางทิศเหนือของพื้นที่ในวัดราชประดิษฐาน มีประชาชนมุงดูเหตุการณ์จำนวนมาก

พระครูประดิษฐ์ฯ กล่าวว่า
 
ก่อนเกิดเหตุมีลมพายุหมุน 1 ลูกพัดกระโชกเพียงชั่วครู่ประมาณ 5 นาที เข้ามาที่กลุ่มโบราณสถานวัด แต่ไม่มีฝนตก แรงลมพายุพัดจนทำให้วิหารซึ่งไม่มีฝาผนัง ขนาดกว้างประมาณ 10 เมตร ทำด้วยปูนหลังคาทรงไทย พังลงมาทับองค์พระพุทธรูปโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระปูนปั้นไส้เป็นไม้ ชื่อหลวงพ่อขาว ขนาดหน้าตักประมาณ 2 เมตร 90 ซ.ม. โดยองค์หลวงพ่อขาวหักพังเสียหายขาดออกเป็นหลายท่อน และนอกจากนี้ยังทำให้พระพุทธรูปโบราณที่เป็นรูปจำลองรายล้อมหลวงพ่อขาวอีก 9 องค์ ที่อยู่ฐานชุกชีเดียวกันพังเสียหาย นอกจากนี้ยังมีเจดีย์รายรอบหลวงพ่อขาวพังเสียหายไปเพราะแรงลมพายุอีก 4 องค์ ในที่เกิดเหตุพบต้นสะเดาป่าขนาดใหญ่ รากชอนไปใต้ฐานเจดีย์หักโค่นทับหลวงพ่อขาวด้วย


รายงานข่าวแจ้งว่า หลังเกิดกระแสข่าวลือว่ากรุแตก เพราะใต้ฐานชุกชีและเจดีย์รายน่าจะมีทรัพย์สินหรือพระเครื่อง ทำให้ประชาชนแตกตื่นเข้ามาหมายจะรื้อค้นหาของมีค่า

ต่อมานายวิทยา ผิวผ่อง ผวจ.พระนคร ศรีอยุธยา พร้อมด้วย นายอเนก สีหามาตย์ ผอ.สำนักงานศิลปากร ที่ 3 พระนครศรีอยุธยา และเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งสั่งการให้ตำรวจสภ.พระนครศรีอยุธยา เจ้าหน้าที่เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา และสำนักงานศิลปากรที่ 3 อยุธยา กั้นเขตเฝ้าระวังและห้ามเข้าไปรื้อค้นหาทรัพย์สินและพระเครื่องตลอด 24 ช.ม.

พระครูประดิษฐ์กิจจารักษ์ เจ้าอาวาส กล่าวต่ออีกว่า
 
โบราณสถานกลุ่มดังกล่าวเสียหายทั้งหมด คงจะประเมินค่าไม่ได้ เพราะเป็นของโบราณ โดยเฉพาะองค์พระหลวงพ่อขาวประธานนั้น เป็นพระพุทธรูปโบราณ คงต้องประสานงานกรมศิลปากรตรวจสอบความเสียหายทั้งหมดและหาทางบูรณะต่อไป ในส่วนของวัดท่าทรายที่เกิดเหตุทางกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเอาไว้การพัฒนาทางวัดจึงทำไม่ได้

สำหรับวัดท่าทรายในปัจจุบันรวมเข้าเป็นวัดเดียวกับวัดราชประดิษฐาน ยังคงมีสิ่งก่อสร้างสมัยอยุธยาเหลืออยู่ โดยวัดท่าทรายนั้น ตามประวัติเป็นวัดที่อยู่ของพระมหานาค ซึ่งเป็นผู้แต่งฉันทบุรโณวาท กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาท ในพงศาวดารกล่าวว่า

ครั้งหนึ่งแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ.2172-2199 ให้ปลูกเรือนเสาไม้ไผ่ที่ริมวัดท่าทรายให้พระอาทิตยวงศ์อยู่ พระอาทิตยวงศ์ที่กล่าวถึงนี้ เป็นโอรสสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมได้ขึ้นครองราชย์หลังจากพระราชบิดาสวรรคตขณะเมื่อมีพระชนมายุ 9 พรรษา อยู่ในราชสมบัติได้ 6 เดือน มุขมนตรีพร้อมใจกันยกเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามต่อมาว่าสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง

พงศาวดารเล่าว่า
 
"(พระเจ้าปราสาททอง) เสด็จประพาสมาหน้าวิหารใหญ่ (วัดพระศรีสรรเพชญ์) ทอดพระเนตรเห็นพระอาทิตยวงศ์ พระราชบุตรพระเจ้าทรงธรรมซึ่งยกออกเสียจากราชสมบัตินั้นขึ้นนั่งห้อยเท้าอยู่บนหลังกำแพงแก้ว ชี้พระหัตถ์ตรัสว่าอาทิตยวงศ์องอาจมิได้ลงจากกำแพงแก้วให้ต่ำ ลดพระอาทิตยวงศ์ลงจากยศให้ไปปลูกเรือนเสาไม้ไผ่สองห้องสองหลังริมวัดท่าทรายให้อาทิตยวงศ์อยู่ ให้คนอยู่ด้วยสองคนแต่พอตักน้ำหุงข้าว"

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์