ผู้หญิงที่เป็นกรณีศึกษาเรื่องสำคัญ ทั้งในด้านความรุนแรงในครอบครัว และการช่วยเหยื่อสตรีในต่างแดน
มาโนฮาร่า โอเดเลีย ปิโนต์ นางแบบสาวชาวอินโดนีเซีย ลูกครึ่งอเมริกัน วัย 17 ปี ชายาเจ้าชายกลันตันแห่งมาเลเซีย เปิดใจอย่างหมดเปลือกกับหนังสือพิมพ์จาการ์ตา โกลบ (Jakarta Globe)
ตั้งแต่ชีวิตที่เป็นดังเจ้าหญิงในเทพนิยาย นางแบบสาวที่ติดโผ 100 ผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอินโดนีเซียของนิตยสารบาซาร์ มาพบรักและแต่งงานกับเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ตั้งแต่อายุ 15-16 ปี ได้เดินทางท่องเที่ยวรอบโลกและใช้ชีวิตอย่างหรูหราที่ใครๆ ต่างคิดว่าต้องเต็มไปด้วยความสุข แต่กลับลงเอยเหมือนฝันร้าย ชีวิตวิวาห์เต็มไปด้วยการทารุณทางร่างกายและจิตใจ การลักพาตัว และสุดท้ายรักล่ม จบลงด้วยการหลบหนี
มาโนฮาร่าเล่าถึงประวัติส่วนตัวว่า เกิดในกรุงจาการ์ตา วันที่ 28 ก.พ.2535 พ่อแท้ๆ เป็นชาวอเมริกัน ในการแต่งงานครั้งที่สองของแม่ เคยพยายามติดต่อหาพ่อแต่ไม่พบ ส่วนพ่อเลี้ยงชื่อ ไรเนอร์ ปิโนต์ เป็นคนดีมาก เป็นเหมือนพ่อแท้ๆ
มาโนฮาร่าออกจากจาการ์ตาตอนอายุ 9 เดือน ไปฮ่องกง 2 ปี จากนั้นไปอยู่โรมาเนียไม่ถึง 6 เดือนก็ไปออสเตรีย อยู่ที่กรุงเวียนนา ต่อมาย้ายไปโลซาน สวิตเซอร์แลนด์ และไปอยู่วินด์เซอร์ในอังกฤษ ก่อนจะไปอยู่ยาวที่ฝรั่งเศส ทั้งนี้เพราะธุรกิจของพ่อ
มาโนฮาร่า เพิ่งกลับไปอยู่จาการ์ตาเมื่อประ มาณ 3 ปีก่อน คือในปี 2549 เพราะคุณตาป่วยหนัก เมื่อท่านเสีย จึงอยู่ไว้ทุกข์ 40 วัน ตั้งใจไว้ว่าจะกลับ แต่สุดท้ายก็อยู่นาน โชคดีที่เรื่องเพื่อนไม่ใช่ปัญหาใหญ่ทั้งตนและน้องสาว เพราะว่าเราเดินทางบ่อย ทำให้เราเป็นคนเปิดกว้าง เข้ากับคนง่าย ไม่ติดยึดกับอะไรมากนัก
สำหรับอาชีพนางแบบ มาโนฮาร่า กล่าวว่า เริ่มแรกไม่เชิงงานนางแบบ อย่างผู้กำกับฯ ที่บังเอิญเป็นเพื่อนกัน มาชวนว่า "เออ มาโน มาเป็นแบบลงปกให้หน่อยสิ" ฉันก็ตอบว่า "ได้สิ" ก็ทำแบบนั้นอยู่หลายงาน คือถ่ายแบบให้เพื่อนๆ
หลังจากนั้นฉันก็คิดว่า "เออ สนุกนะ น่าจะทำได้" ก็เลยเริ่มออกไปลองคัดตัว แต่ก่อนจะได้ทำอะไรจริงจัง ก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน
เมื่อนักข่าวถามว่า เคยคบกับคนอายุมากกว่าไหม เพื่อเข้าเรื่องที่เจ้าชายกลันตันมีชันษา 31 ปี
มาโนฮาร่า กล่าวว่า ตนเองพูดเสมอว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข ตอนเด็กๆ มักอยู่กับคนที่อายุมากกว่าตลอด ไม่รู้ว่าทำไม รู้สึกว่าคุยกันรู้เรื่องมากกว่า
"บางคนบอกว่าฉันแก่แดด ไม่รู้สิ ฉันไม่เคยคบกับเจ้าชายมาก่อน เราเป็นเพื่อนกัน ไม่มีอะไรมาก เขาโทร.มาหาและชวนว่า "อยากแนะนำฉันให้รู้จักพ่อแม่" ฉันก็ตอบว่า "ได้ เยี่ยมเลย ฉันจะไปนะ"
แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น มาโนฮาร่าถูกสั่งว่า "เธอจะต้องแต่งงานสัปดาห์นี้" เมื่อตอบไปว่า "ฉันทำไม่ได้" ก็มีข้ออ้างว่า ครอบครัวส่งการ์ดเชิญไปแล้ว แล้วก็มีงานแต่งงาน "ทุกอย่างเตรียมไว้หมดแล้ว ถ้าเธอไม่แต่งก็ทำให้ราชวงศ์เขาอับอาย" ฉันได้แต่พูดว่า "ไม่ ไม่นะ ไม่"
"พวกเขาบอกว่า "ฟังนะ มาโน ช่วยพวกเราหน่อย" แล้วพรุ่งนี้ มะรืนนี้ พวกเราจะไปจาการ์ตา และเราจะไปฝรั่งเศส เราจะทำเหมือนว่าเราไม่เคยแต่งงานกัน เริ่มต้นใหม่ แต่พอวันถัดมา พวกเขาก็ลืมคำสัญญา ฉันไม่รู้ว่าคุณจะเรียกมันว่ากับดักหรืออะไร แต่ฉันรู้สึกติดกับ"
เจ้าหญิงกลันตัน เหยื่อนอกนิยาย
มาโนฮาร่าเล่าย้อนว่า พบเจ้าชายฟากฮรี ปี 2550 ตอนอายุ 15 ปี ที่งานเลี้ยงอาหารค่ำ เป็นงานโปรโมตการท่องเที่ยวมาเลเซีย เขาได้เบอร์มือถือแม่ไป ถ้าเขามาจาการ์ตา เราก็กินข้าวเย็นกัน ไม่ใช่แค่ฉัน แต่กลุ่มเพื่อนเราทั้งหมด ถ้าฉันไปมาเลเซียฉันก็จะโทร.ไปหาเขาแล้วก็บอกว่า "นี่ ฉันมาแล้วนะ"
นักข่าวถามว่า เจ้าชายต้องมีความประทับใจคุณบ้างล่ะ หญิงสาวกล่าวว่า "ไม่นะ ตอบตามตรง ฉันไม่เคยเห็นเขาเป็นเพื่อนสนิทอะไร เขาเป็นแค่คนรู้จัก ส่วนใหญ่เขาเงียบตลอดและสุภาพ โดยเฉพาะกับแม่ฉัน เขาพูดว่า คุณป้าครับ มาผมถือกระเป๋าให้ เขาเป็นคนเจ้าระเบียบ และดูเป็นสุภาพบุรุษ"
จากนั้น มาโนฮาร่า น้องและแม่ ไปมาเลเซียกันวันที่ 17 ส.ค.2551 อยู่ 2 วันก่อนจะไปพบพ่อแม่ของเขา ตอนเราเจอกัน พระมารดาของเจ้าชายตรัสประมาณว่า "ตกลง ฉันตกลง งานแต่งงานวันที่ 26 นะ"
"ฉันคิดว่าแม่เขาพูดเล่น ฉันเลยขำ แล้วบอกว่าคุณหมายความว่าอย่างไรนะคะ แล้วเขาก็เอาการ์ดเชิญให้ดู มีรูปฉัน ไม่รู้เอามาจากไหนแล้วก็มีรูปยิ้ม ฉันงงมากแบบว่า นี่ฉันกำลังทำอะไรเนี่ย"
เมื่อนักข่าวถามว่า ทำไมไม่พยายามหนี มาโนฮาร่า กล่าวว่า ถึงฉันหนีได้ แล้วแม่ล่ะ คนของเขามีเยอะแยะ ฉันเลยคิดว่า...มาโน กลับไปจาการ์ตา แล้วทำให้มันจบๆ ไป ตอนแรกฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นเจ้าชายหรอก แค่คิดว่าคงเป็นคนใหญ่ คนโต แต่ไม่รู้เขาทำงานอะไร ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย
"หลังแต่งงาน เจ้าชายก็ตะคอก ฉันตกใจมาก ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาไม่ได้ตะโกนใส่ฉัน คงอาจจะแค่เครียด พอถึงบ้านเขาก็บอกว่าคุณต้องนอนกับผม ฉันบอกว่าฉันจะกลับจาการ์ตาพรุ่งนี้ จะทำอะไรนะ" แล้วตอนนั้นฉันก็บอกว่า "ฟังนะ ไม่มีทาง" แล้วเขาก็เริ่มหยาบคายบอกว่า "ผู้หญิงอินโดนีเซียเป็นผู้หญิงอย่างว่าทุกคน"
มาโนฮาร่า กล่าวว่า ช่วง 2 เดือนแรกพยายามจะใช้อินเตอร์เน็ต มือถือ เพื่อติดต่อคนอื่นๆ แต่ก็ต้องรู้ว่าพวกเขามีอิทธิพลมากในมาเลเซีย แต่ตนไม่อยากตำหนิคนทั้งหมด เพราะคนส่วนใหญ่ที่ช่วยฉันออกมาเป็นญาติๆ ของเขา พวกเขาใจดีมาก
หญิงสาวอาศัยช่วงเวลาที่สุลต่านประชวรและแพทย์แนะนำให้มารักษาพระวรกายที่ประเทศสิงคโปร์ หนีกลับอินโดนีเซียได้ในที่สุด
มาโนฮาร่า กล่าวว่า สิ่งที่พูดไปมีร่องรอยการทำร้ายทางร่างกายเป็นหลักฐานตรวจทางการแพทย์ รอย X บนหน้าอก ค่อยๆ มีแผลทั่วตัว มีรอยเข็มที่แผ่นหลัง แต่ก็ยังมีคนที่ไม่เชื่อ
นักข่าวถามว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ชอกช้ำทางจิตใจด้วยหรือไม่
มาโนฮาร่า กล่าวว่า "ไม่ ไม่ช้ำ เขาเล่นงานชีวิตฉันมากแล้วในอดีต ฉันจะไม่ปล่อยให้เขาทำกับอนาคตของฉัน มีคนพูดว่าการให้อภัย จะปลดปล่อยตัวเราเอง ฉันเชื่ออย่างนั้น"