เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้บริหารบริษัท ไทย แอร์พอร์ต กราวด์ เซอวิสเซส จำกัด หรือแทกส์ เป็นโต้โผนำคณะสื่อมวลชนไปดูความศิวิไลซ์ที่ เมืองเสิ่นเจิ้น เมืองชายแดนจีน ริมฝั่งตรงข้ามกับเกาะฮ่องกง และ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในคราวเดียวกัน
ที่อาจจะหนาวๆ ร้อนๆ ไปบ้าง เพราะช่วงนี้มีข่าวการระบาดของ โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 กำลังฮอตฮิต
เข็มนาฬิกาบอกเวลาตี 2 ครึ่ง ได้เวลาเหินฟ้ามุ่งหน้าสู่ สนามบินเปาอัน เมืองเสิ่นเจิ้น ของจีน ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง รู้สึกเหมือนงีบพักสายตาบนเครื่องบินเท่านั้น ลืมตาขึ้นมาได้ทันเห็นแสงแรกของพระอาทิตย์ขึ้นกลางน่านฟ้าแล้ว อีกแป๊บเดียวเครื่องก็ลงจอดเบื้องล่าง
ทันทีที่เท้าแตะสนามบินราว 7 โมงเช้า เป็นเวลาท้องถิ่นที่เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง กิจกรรมเริ่มต้น ด้วยติ่มซำต้นตำรับอาหารจีนกวางตุ้ง รสชาติโอชาเลื่องชื่อ และรีบลำเลียงตัวเองขึ้นรถบัสออกเดินทางไปดูงานหาสาระใส่ตัว
บ่ายอ่อนๆ จึงได้เข้าโรงแรมที่พักเก็บสัมภาระเสร็จสรรพ เหลียวมองเพื่อนร่วมคณะนึกว่าแพนด้าสายพันธุ์ใหม่ ผสมระหว่างไทย-จีน หลายคนเบ้าตาหมองคล้ำเพราะอดนอนจากการเดินทางกันมาทั้งคืน
สวรรค์ของนักช็อปที่เสิ่นเจิ้นจะเป็นอื่นไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ หลอหวู่ ซิตี้ (Lowu City) ศูนย์การค้าชั้นนำของเมืองที่หลายคนรู้จักดี เทียบเคียงได้กับมาบุญครองเซ็นเตอร์ หรือแหล่งช็อปปิ้งย่านประตูน้ำเมืองไทย
คนไทยขาช็อปมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับกิจกรรมที่นี่เป็นอย่างดี จนได้รับขนานนามจากอาเฮีย-อาเจ้ว่า คนไทยขึ้นชื่อเรื่องการต่อราคา สินค้าสุดยอดที่สุดของที่สุด พอสมน้ำสมเนื้อกับความเป็นเจ้าของแหล่งรวมสินค้าก๊อบแบรนด์เนมเกรดเอทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าไอที เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า แว่นตา และ "นาฬิการักชาติ" ที่ตอนซื้อก็ยังดี แต่ข้ามพรมแดนแล้วอาจเจ๊งทันที ไม่รับประกันและไม่ การันตีว่ากลับมาถึงเมืองไทยแล้วจะยังทำงานได้มั้ย
ตกเวลาเย็นค่ำ ได้เวลานัดรวมพลไป Window of the World แปลตรงตัวคือ หน้าต่างของโลก เป็นแหล่งเที่ยวชมเมืองจำลองต่างๆ ที่รวมความเป็นสุดยอดจากทั่วโลก
แต่น่าเสียดายที่เก็บภาพถ่ายมาไม่ได้มากนัก โดยเฉพาะวัดพระแก้วจำลอง ที่เจ้าหน้าที่เร่งขับรถรางพาชมแบบผ่านๆ เห็นแค่หลังคากับยอดเจดีย์เท่านั้น เพราะความมืดในยามค่ำคืนกำลังไล่หลังมา จนได้เวลาเสพความบันเทิงจากการแสดงอันวิจิตรตระการตา ที่จัดเตรียมไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน เพื่อดื่มด่ำกับแสงสียามราตรีที่สวยงามตามวิถีชีวิตของคนเสิ่นเจิ้น
วันแรกของการเดินทางสิ้นสุดลง เมื่อทุกคนแยกย้ายกันเข้าที่พักหลังจากกินอาหารมื้อเย็น ด้วยอาการเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า และมอมแมมสุดๆ เพราะตั้งแต่ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงที่นี่ และผ่านไปอีก 1 วัน ทุกคนยังอยู่ในสภาพซักแห้ง จนเกือบ 5 ทุ่ม ถึงได้พาตัวเองไปชำระคราบเหงื่อไคล และล้มตัวลงนอนแบบหลับเป็นตาย
เช้าวันที่สอง เริ่มขึ้นแบบผ่อนคลาย หลังจากอาหารเช้าแล้วก็ต้องเตรียมออกเดินทางไปสนามบิน เพื่อขึ้นเครื่องบินไปประเทศมาเลเซีย
เดินทางถึง สนามบินกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ก็บ่าย 3 โมงกว่าแล้ว มีไกด์คนไทยที่เห็นจะเป็นรุ่นราวคราวลุง เป็นคนพื้นเพจังหวัดสตูลบ้านเรา พาคณะออกจากสนามบินไปเที่ยวชมเมืองปุตราจายาเป็นจุดแรก
"ปุตราจายา" มาจากคำว่า "ปุตรา" แปลว่า เจ้าชาย และ "จายา" แปลว่า ยิ่งใหญ่หรือ ความสำเร็จ โดยชื่อนี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่นายกรัฐมนตรีคนแรกของมาเลเซีย คือ ตวนกู อับดุล ราห์มัน ปุตรา อัลฮัจ
ปุตราจายา เป็นเมืองราชการที่ตั้งที่ทำ การของรัฐบาล และกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ที่ตั้งรัฐสภา ที่ทำการนายกรัฐมนตรี ตั้งอยู่เหนือทะเลสาบ บนพื้นที่ 49,320 ตร. ก.ม. ของรัฐสลังงอร์ อยู่ห่างจากกรุงกัวลา ลัมเปอร์ไปทางใต้ประมาณ 25 ก.ม.
ดร.มหาเธร์ บิน โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ตั้งใจจะสร้างเมืองนี้ให้เป็นนครที่มีลักษณะแห่งสปิริตของประเทศอย่างสมบูรณ์ที่สุด ภายในศตวรรษที่ 21 ทำให้ปุตราจายาเป็น สัญลักษณ์แห่งความปรารถนาของประเทศมาเลเซีย
จุดเด่นที่น่าชมของเมือง เห็นจะเป็นมัสยิดหินอ่อนสีชมพู มีขนาดใหญ่และอลังการมาก มีโดมสีชมพู สร้างด้วยหินแกรนิตสีกุหลาบ สามารถบรรจุผู้มาสวดได้พร้อมกันถึง 15,000 คน
ที่สำคัญยังมีบ้านพักประจำตำแหน่งนายก รัฐมนตรี รัฐมนตรี รวมถึงบ้านพักของมหาเธร์ และบ้านพักของสุลต่านรัฐสลังงอร์ด้วย ห้องสมุด แกลเลอรี่ และพิพิธภัณฑ์ ที่เปิดให้ ชมตั้งแต่ 09.00-17.00 น.
ตลอดระยะทาง 20 ก.ม. จากสนามบินมาปุตราจายานี้ ยังได้เห็นสะพานรูปทรงต่างๆ สวยงามสะดุดตา มีคนบอกว่า มหาเธร์ตั้งใจจะสร้างสะพาน 8 แห่ง ที่ออกแบบให้แสดงถึงสถาปัตยกรรมอย่างโดดเด่น
ปัจจุบันก่อสร้างเสร็จแล้วจำนวน 5 สะพาน ได้แก่ สะพานปุตรา สะพานเสรี เพอดานา สะพานเสรีบักตี สะพานเสรีเกมีลัง และ สะพานเสรีวาวาซาน
เดินกินลมชมทิวทัศน์ในเมืองปุตราจายา ชวนให้นึกถึงเดินกินลมชมสะพานที่สะพานพระราม 8 ในเมืองไทย แม้จะไม่สนุกตื่นเต้น แต่ที่รู้สึกได้ระหว่างชมวิวอย่างออกอรรถรสตั้งแต่มาเหยียบที่นี่คือ มาเลเซียมีระเบียบก้าวหน้ามากกว่าไทยหลายช่วงก้าวนัก ถนนหนทาง สถานที่ อาคารต่างๆ ดูสะอาดตา
มื้อค่ำในกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย ที่แม้จะได้ลิ้มรสอาหารสไตล์พื้นถิ่น แต่ก็ไฮโซเหมือนกัน เพราะต้องขึ้นไปกินกันที่ห้องอาหารบนยอดหอคอย KL Tower ที่มีความสูงถึง 421 เมตร ชมวิวของกรุงกัวลาลัมเปอร์จากมุมสูงแบบ 360 องศา
เห็นรถยนต์ ผู้คน สิ่งของ ริบหรี่อยู่ไกลๆ และแสงไฟระยับบนท้องถนน และอาคารต่างๆ ดูแปลกตา แหงนมองระดับสายตาเบื้องหน้าเห็นกลุ่มเมฆก้อนใหญ่ดำทมิฬ แสงฟ้าแลบแสกๆกลางเมฆดูน่าขนหัวลุก กะว่าจะถ่ายรูปเมืองยามค่ำคืน จากมุมสูงให้หนำใจ แต่ฝนฟ้าก็ไม่เป็นใจเลย บดบังทัศนียภาพสวยๆ หมดเลย
โปรแกรมท่องเที่ยวที่ไชน่าทาวน์ใจกลางเมืองคืนนี้เป็นอันต้องพับแผนไปเพราะฝนตกหนัก ก็เลยต้องอาฆาตไว้ล่วงหน้าว่า เที่ยวหน้าถ้า มีจริงต้องไม่พลาดชิมบั๊กกุ๊ด เต๋เจ้าอร่อย หรือเรียกตามเนื้อผ้าก็กระดูกหมูตุ๋นยาจีนนั่นเองของที่นี่ ไม่นับบะหมี่กวางตุ้งเลื่องชื่อ หมูสะเต๊ะหอมยั่วใจ หรือหมูแผ่น หมูหวาน ร้าน Bee Chang Hiang ที่มีขายเฉพาะที่จีน สิงคโปร์ และมาเลเซียเท่านั้นมั้ง
เยี่ยมชมและถ่ายรูปกับตึกแฝดปิโตรนาส สัญลักษณ์ของมาเลเซีย จึงเดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ
Love Attack เทศกาลความรักแบบนี้ บอกอ้อมๆให้เขารู้กัน
Chocolate Dreams สาวชั่งฝันและช็อคโกแลต กับหนุ่มหล่อ ไม่แน่คุณอาจจะได้เจอแบบนี้ก็ได้
Love You Like Crazy เพลงเพราะๆ ที่ถ้าส่งให้คนที่เรารัก โลกนี้ก็สีชมพูกันทีเดียว