วันนี้ (7 มิ.ย.) นายประเสริฐศักดิ์ บุญตระกูลพูนทวี หัวหน้าโครงการวิจัยและส่วนจัดแสดหมีแพนด้าในประเทศไทย
และแพทย์หญิงกรรณิการ์ นิ่มตระกูล สัตวแพทย์ประจำแพนด้า พร้อมทีมพี่เลี้ยงที่ได้รับการฝึกดูแลแพนด้าน้อยจากประเทศจีน เฝ้าติดตามพฤติกรรมการพัฒนาการลูกแพนด้าน้อย "ไทซีนอ้อแอ้" และ “หลินฮุ่ย” พบว่าตลอดทั้งคืนวันที่ 6 มิ.ย.จนถึงช่วงบ่ายวันที่ 7 มิ.ย.แพนด้าหลินฮุ่ย วางลูกประมาณ 10 ครั้ง โดยในช่วงที่วางลูก หลินฮุ่ย จะมองแพนด้าน้อยเหมือนเปิดโอกาสให้คลาน ออกกำลังกาย แต่แพนด้าน้อยกลับนอนนิ่ง เมื่อหลินฮุ่ยเห็นว่าแพนด้าน้อยไม่ยอมคลานจึงใช้ปากคาบอย่างทุรักทุเล เพราะแพนด้าน้อยตัวโตและมีน้ำหนักมากขึ้น โดยทางทีมสัตวแพทย์ได้สังเกตุพฤติกรรมและบันทึกไว้ด้วยความพอใจในพัฒนาการ
ต่อมาเมื่อเวลา 15.00 น.นายประเสริฐสักดิ์ บุญตระกูลพูนทวี หัวหน้าโครงการวิจัยฯ กล่าวว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาหลินฮุ่ยวางลูกบ่อยมาก
แต่ละครั้งประมาณ 5 นาที ระหว่งที่วางลูก หลินฮุ่ยจะใช้ช่วงเวลานี้เดินไปกินไผ่หรืออาหารเสริม รวมถึงไปขับถ่ายปัสสาวะและอุจาจาระ ซึ่งลักษณะอุจจาระของหลินฮุ่ยที่ถ่ายออกมาจะเป็นปกติ ทั้งนี้ช่วงที่ผ่านมาหลินฮุ่ยสามารถกินไผ่ได้ประมาณ 2 กิโลกรัม เป็นไผ่ลูกศรกับไผ่ตง ที่พี่เลี้ยงปลอกเปลือกไผ่ และตัดไผ่ให้สั้นพอดีกับการกิน และเด็ดใบไผ่เพื่อป้อนให้ อย่างไรก็ตามจากการสังเกตุของทีมงานการวางลูกของหลินฮุ่ย เหมือนเป็นการสอนให้ลูกคลานและพยุงตัวเดิน แต่เมื่อลูกน้อยยังทำไม่ได้ก็หยุด และพยายามทำตลอดเหมือนเป็นทดสอบวิธีการเลี้ยงลูกหลายวิธี
หัวหน้าโครงการวิจัยฯ กล่าวต่อว่า พัฒนาการของแพนด้าน้อย "ไท้ซินอ้อแอ" สามารถดูดนมแม่ได้อย่าง เต็มที่ ท้องจะตึงและตัวอ้วนกลม
เมื่อหลินฮุ่ยนำไปวางไว้กับพื้นจากน้ำหนักที่มากและความอ้วนแพนด้าน้อยจะไม่ ยอมคลานหรือพยุงตัวเลยจะเอาแต่นอนหลับบนพื้นอย่างน่ารักน่าชัง ไม่ร้องงอแง พอหลินฮุ่นคาบนำขึ้นมาไว้บนหน้าอก ก็คลานหาหัวนมได้อย่างชำนาญทั้งๆที่ตายังมองไม่เห็น และจะสังเกตุเห็นสีดำที่ลำตัวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ขณะนี้จึงรอดเพียงสีดำที่ขาหลังและสะโพกเท่านั้นก็จะเห็นความสมบูรณ์ชัดเจน ของแพนด้าน้อย สำหรับการจะนำแพนด้าน้อยออกมาตรวจสุขภาพ ได้มีการวางโปรแกมในช่วงอายุ 11-20 วันโดยจะทำการแยกลูกหมีเพื่อชั่งน้ำหนักทุกๆ 2 วัน โดยครั้งต่อไปจะทำการช่างน้ำหนักและวัดตัวในวันที่ 9 มิ.ย.นี้
แพนด้าน้อยขี้เซา แม่วางเป็นหลับ
เครดิต : ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!