สถานทูตลาวมอบอำนาจให้ทนายความเข้าฟ้องพยานเท็จของตำรวจ กก.3 บก. ปดส. เกี่ยวพันกรณีเรียกรับส่วยร้านคาราโอเกะใน จ. นครปฐม กล่าวหาว่าเปิดค้าประเวณี เป็นเรื่องเป็นราวกันมาก่อนหน้านี้ ผู้เสียหายยังร้องถึงนายกฯ และรมต.ยุติธรรมด้วยอ้างก่อนเกิดเรื่องตร.ปดส. ชื่อ "ดาบนอง" มาเรียกเก็บส่วยเดือนละ 5 พัน พอไม่จ่ายเจอยกพวกเข้าจับ-ปั้นพยานเท็จเล่นงานเจ้าของร้านคาราโอเกะ
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 6 มิ.ย. ที่สน.พหลโยธิน นายศิวาวิทย์ สำเร็จผล ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากเลขานุการสถานทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประจำประเทศไทย พร้อมนายไพฑูรย์ ชื่นชม อายุ 50 ปี นางเดือนเพ็ญ พรมพะนัส อายุ 41 ปี นายเพลิน พรมพะนัส อายุ 35 ปี นางเสงี่ยม สอดสุข อายุ 41 ปี น.ส.จันสะหมอน จันทะบันดิด อายุ 27 ปี สัญชาติลาว และนางขันทอง ใบแก้วมณี อายุ 27 ปี สัญชาติลาว เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.สุรเชษฐ์ เดชะพันธ์ ร้อยเวร สน.พหลโยธิน เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับน.ส.ออย อายุ 25 ปี สัญชาติพม่า พยานของพนักงานสอบสวน บก.ปดส. กรณีเบิกความอันเป็นเท็จต่อศาลอาญาและหมิ่นประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายและได้รับโทษทางอาญา
นายศิวาวิทย์ กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวพันกับกรณีเจ้าพนักงานตำรวจ กก.3 บก. ปดส. โดยการอำนวยการของ พ.ต.อ. ทินกร มั่งคั่ง ผกก.3 บก.ปดส. ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.ณวัฒน์ ศุกลรัตน์ สว.กก.3 บก.ปดส. กับพวกรวม 14 นาย เข้าตรวจค้นจับกุมร้านมานะชัยคาราโอเกะ ต.ห้วยจระเข้ อ.เมือง จ.นครปฐม โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อคืนวันที่ 23 มี.ค. พร้อมจับกุมหญิงชาวลาว 11 คน ซึ่งเป็นลูกค้าที่มาใช้บริการภายในร้านไปดำเนินคดี ข้อหาหลบหนีเข้าเมืองและเข้าทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และมั่วสุมในสถานที่ค้าประเวณี เพื่อประโยชน์ของตนหรือผู้อื่น ต่อมาพนักงานอัยการได้มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาชาวลาวบางส่วน เนื่องจากมีเอกสารยืนยันการเข้ามาภายในประเทศและมีใบอนุญาตทำงานอย่างถูกต้อง และสามารถยืนยันได้ว่าไม่ได้เป็นลูกจ้างของร้านมานะชัยคาราโอเกะ และที่ร้านดังกล่าว ก็ไม่ได้เป็นแหล่งค้าประเวณีแต่อย่างใด
นายศิวาวิทย์ กล่าวต่อว่า หลังจากพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องแล้ว น.ส.จันสะหมอน กับพวกได้ดำเนินการฟ้องคดีต่อตำรวจชุดจับกุมทั้ง 14 นาย และ พ.ต.ท.เสมอ ฉวีนวล พนักงานสอบสวน บก.ปดส. ต่อศาลจังหวัดนครปฐม และศาลอาญา ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย, เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่กรอกข้อความลงในเอกสารบันทึกจับกุมโดยที่ตนมีหน้าที่นั้น และอ้างว่าได้ปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามบันทึกการจับกุมนั้นต่อหน้าตนเองหรือต่อหน้าพนักงานสอบสวนและนำส่งต่อพนักงานสอบสวนเพื่อมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จ, กักขังหน่วงเหนี่ยวผู้อื่น และอื่นๆ อีกหลายข้อหา ซึ่งขณะนี้ศาลได้รับฟ้องและอยู่ระหว่างนัดพิจารณาสืบพยานในวันที่ 13 ก.ค.52
นายศิวาวิทย์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ นางเดือนเพ็ญ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้าอาหารและเครื่องดื่มในร้านมานะชัยคาราโอเกะ นายเพลิน ผู้อาศัยอยู่ภายในร้าน และนางเสงี่ยม ซึ่งเป็นแม่ครัว ทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม อัยการสูงสุด ตลอดจนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่องทั้งหมดอยู่ในระหว่างสั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องดำเนินการกับตำรวจชุดจับกุมดังกล่าวแล้ว ส่วนน.ส.ออย ซึ่งพนักงานสอบสวน บก.ปดส. นำมาเบิกความอันเป็นเท็จที่ศาลอาญาในคดีหมายเลขดำที่ พ.867/2552 และ คดีหมายเลขดำที่ อส.14/ 2552 เพื่อปรักปรำใส่ร้ายเจ้าของร้าน ได้แก่ นายไพฑูรย์ ชื่นชม และนางเดือนเพ็ญ กับพวก โดยเบิกความว่าใช้ร้านค้าเป็นสถานที่ค้าประเวณี ให้ที่พักพิงแก่บุคคลต่างด้าว และเบิกความว่านางเดือนเพ็ญ กับพวกเป็นผู้ชักพาคนต่างด้าวมาค้าประเวณีในร้าน รวมทั้งเบิกความว่าหญิงชาวลาวที่เหลือได้ลักลอบค้าประเวณีในร้าน ซึ่งไม่เป็นความจริงตามที่น.ส.ออย เบิกความ จึงทำให้บุคคลเหล่านี้ได้รับความเสียหาย
"เรื่องดังกล่าวทางสถานทูตลาว รับทราบข้อเท็จจริงแล้ว โดยเลขานุการสถานทูตได้มอบหมายให้ผมพาผู้เสียหายชาวลาวทั้งหมด พร้อมผู้เสียหายเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีกับน.ส. ออย ในฐานะพยานเท็จของพนักงานสอบ สวน และให้ความช่วยเหลือแก่หญิงชาวลาวอีก 6 คน ซึ่งถูกกักอยู่ใน กก.3 ศสส.สตม. เพื่อให้ได้รับอิสรภาพและผลักดันกลับสู่ภูมิลำเนาโดยเร็ว" นายศิวาวิทย์ กล่าว
ด้านนางเดือนเพ็ญ กล่าวว่า ช่วงต้นเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ด.ต.ธนกฤต คำวอน หรือ "ดาบนอง" ตำรวจสังกัด บก.ปดส. เข้ามาหาที่ร้านมานะชัยคาราโอเกะ เพื่อขอเก็บเงินเดือนละ 5,000 บาท โดยอ้างว่านายให้มาเก็บ จึงบอกไปว่าตนเพิ่งเปิดร้านได้แค่เดือนกว่า และไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไร เพียงแต่ร้านของตนเปิดใกล้สถานบริการนวดแผนโบราณ และคาราโอเกะที่มีหญิงสาวคอยให้บริการก็เท่านั้น เลยบอกปัดปฏิเสธไม่ยอมจ่าย จากนั้น "ดาบนอง" ก็ขู่อาฆาตหาว่าตนดื้อไม่เหมือนเจ้าของร้านรายอื่นๆ ซึ่งหากไม่ยอมจ่ายก็จะได้เห็นดีกัน
นางเดือนเพ็ญ กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นเวลาประมาณ 22.10 น. วันที่ 23 มี.ค. ขณะที่กำลังทำกับข้าวอยู่หลังร้าน พ.ต.ต.ณวัฒน์ ศุกลรัตน์ สว.กก.3 บก.ปดส. พร้อมพวกรวม 14 คน บุกเข้ามาฉุดกระชากดิฉัน นายเพลิน น้องชาย และนางเสงี่ยม แม่ครัว ไปควบคุมตัวรวมกันไว้บริเวณกลางร้าน ซึ่งตอนนั้นมีลูกค้าหญิงสาวที่เป็นพนักงานบริการของร้านอื่นในละแวกนั้น พาผู้ชายจากที่อื่นมานั่งกินอาหารที่ร้านตนประมาณ 20 คน จากนั้นตำรวจบังคับให้เปิดลิ้นชักเก็บเงินซึ่งไม่ได้ล็อกเอาไว้ เพื่อหยิบเงินสด 1,600 บาท ซึ่งตนไม่รู้ว่าเป็นของใครเอามาซ่อนไว้ตอนไหนยื่นให้ จากนั้นก็คัดเอาเฉพาะลูกค้าผู้หญิงซึ่งดิฉันทราบภายหลังว่าเป็นคนต่างด้าวรวม 11 คน ก่อนสั่งให้ปิดร้านถ่ายภาพและควบคุมตัวดิฉันกับพวกและคนต่างด้าวทั้งหมดไปสอบสวน ที่ บก.ปดส.
นางเดือนเพ็ญ กล่าวด้วยว่า วันนั้นตนพร้อมพวกถูกคุมตัวไปถึง บก.ปดส.จนถึงเวลาประมาณใกล้รุ่งเช้าอีกวัน ทางตำรวจจึงบอกให้พวกตนไปพิมพ์ลายนิ้วมือและลงชื่อในเอกสารเปล่า โดยอ้างว่าจะได้กลับบ้านไวๆ แต่พอลงชื่อแล้วพวกตนกลับถูกนำไปขังโดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า ร่วมกันเป็นธุระจัดหาล่อไปหรือชักพาหญิงไปทำการค้าประเวณี, ร่วมกันเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารหญิง, ร่วมกันกระทำผิดฐานค้ามนุษย์ และให้ที่พักพิงแก่บุคคลต่างด้าว แล้วถูกคุมตัวในห้องขังก่อนถูกส่งตัวไปที่ศาลอาญาจนได้รับการประกันตัวในวันที่ 25 มี.ค.52 โดยการแจ้งข้อหาในครั้งนั้น ตำรวจมีหลักฐานเป็นเงินสดจากในลิ้นชักซึ่งอ้างว่าเป็นเงินล่อซื้อบริการทางเพศ จำนวน 1,600 บาท และหญิงสาวชาวลาวที่เป็นพยานเท็จให้อีก 3 คนมามัดตัวพวกตน
นางเดือนเพ็ญ กล่าวอีกว่า ต่อมาสาวลาว ซึ่งเป็นพยานเท็จให้กับตำรวจ ประกอบด้วย น.ส.เอ อายุ 17 ปี น.ส.บี อายุ 16 ปี และ น.ส.ซี อายุ 17 ปี (ทั้งหมดนามสมมติ) ได้มาเปิดเผยความจริงกับเจ้าหน้าที่สถานทูตลาว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สำนักงานปราบปรามการทุจริตภาครัฐและเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม ว่า ข้อเท็จจริงนั้น ได้ถูกตำรวจชุดจับกุมจำนวน 3 คน ซื้อบริการทางเพศจากหน้าสถานบริการแห่งหนึ่งซึ่งไม่ใช่ที่ร้านตน และไปมีเพศสัมพันธ์กันที่โรงแรมในละแวกใกล้เคียงกัน โดยชุดจับกุมได้บังคับข่มขู่ให้หญิงลาวทั้ง 3 คน ยืนยันว่า มาขายบริการและได้มีเพศสัมพันธ์กันในร้าน ซึ่งเจตนาคือต้องการให้ตนและพวกถูกดำเนินคดี ซึ่งเรื่องนี้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้สอบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมดเพื่อดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมแล้ว
"เมื่อพนักงานสอบสวนไม่สามารถดำเนินการสอบสวนพยานเท็จทั้ง 3 รายได้ จึงนำตัวหญิงต่างด้าวที่เหลือซึ่งถูกจับกุมพร้อมกันในร้านดิฉันและนำไปกักไว้ที่ กก.3 ศสส.สตม. มาบังคับข่มขู่ให้ลงลายมือชื่อตามคำให้การเดิมว่า ทั้งหมดเป็นลูกจ้างพักอาศัยและขายบริการในร้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบังคับให้หญิงต่างด้าวทั้งหมด ให้ การว่าเคยเห็น น.ส.เอ น.ส.บี และ น.ส.ซี ค้าประเวณีในร้านดิฉันเพื่อจะให้ตนรับโทษข้อหาค้ามนุษย์ ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ร้องขออัยการให้เขียนคำร้องต่อศาลเพื่อสืบพยานล่วงหน้า เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนจึงได้เบิกตัว น.ส.ออย สัญชาติพม่า ออกมาจากห้องกัก กก.3 ศสส.สตม. แล้วนำไปที่ บก.ปดส. ก่อนพาตัวไปเบิกความเป็นพยานให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมในวันต่อมา โดย น.ส.ออย ได้เบิกความเป็นเท็จในวันที่ 5 มิ.ย. ซึ่งดิฉันเชื่อว่า การที่พนักงานสอบสวนเบิกตัวไปก่อนล่วงหน้า 1 วันนั้น น่าจะมีการบังคับหรือกระทำการใดๆ ให้ น.ส.ออย เบิกความอันเป็นเท็จเป็นเหตุให้ดิฉันกับพวกได้รับความเสียหาย จึงพากันเดินทางมาแจ้งความกับร้อยเวร สน.พหลโยธิน ในวันนี้" นางเดือนเพ็ญ กล่าว
เบื้องต้นพนักงานสอบสวน ได้รับคำร้องทุกข์ไว้ และลงบันทึกประจำวันไว้ ก่อนทำหนังสือถึง ผกก.3 ศสส.สตม. เพื่อชะลอการส่งตัวน.ส.ออย กลับประเทศและเบิกตัวมาสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป