เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า แนะ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้ปกครองท้อง เสียสละประโยชน์ส่วนตน เดินตามรอยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว...
วันนี้ (30 พ.ค.) ที่รัฐสภา กระทรวงมหาดไทย สถาบันพระปกเกล้าและรัฐสภาได้จัดสัมมนาเสริมสร้างและเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจในทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แก่ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้ปกครองท้องที่ รุ่นที่ 5 โดยมีนายประสพสุข บุญเดช รองประธานรัฐสภา เป็นประธานเปิดอบรม
ขณะที่บริเวณห้องโถงของอาคารรัฐสภา ได้แสดงนิทรรศการพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีต่อประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงของการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย พ.ศ.2475 ที่ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานรัฐธรรมนูญให้กับคนไทยเป็นครั้งแรก โดยในวันที่ 30 พ.ค. 2552 นี้ ถือเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวครบรอบ 68 ปี ทางรัฐสภาจึงได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณาณุปทานและพิธีมอบทุนการศึกษามูลนิธิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวให้แก่นักเรียนระดับประถมศึกษาตอนหลายที่สนใจเรียนวิทยาศาสตร์ นิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัย โดยมี พล.ร.อ.หม่อมเจ้าปุสาณ สวัสดิวัฒน์ ประธานมูลนิธิฯเป็นประธานในพิธี
ทั้งนี้ตลอดทั้งวันได้มีสถาบันการศึกษา ข้าราชบริหาร ส่วนราชการ พรรคการเมือง นำพวงมาลามาถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และในเวลา 13.00 น.สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร จะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงวางพวงมาลาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ และพวงมาลาส่วนพระองค์ ทรงจุดธูปเทียนถวายราชสักการะพระราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย
ด้านนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ได้กล่าวปาฐกถาต่อผู้บริหารองค์กรส่วนท้องถิ่นและผู้บริหารท้องที่ในตอนหนึ่ง ว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีน้ำพระทัย ยึดสันติวิธี ทรงเสียสละประโยชน์ส่วนพระองค์ เสียสละแม้กระทั่งพระราชบัลลังก์เพื่อไม่ให้ราษฎรต้องเดือดร้อน ทั้งๆ ที่หากจะแข็งขืนไม่ปฏิบัติตามกลุ่มคณะราษฎร์ ในขณะนั้นก็สามารถจะกระทำได้
เนื่องจากยังมีราษฎรส่วนหนึ่งที่พร้อมจะถวายความจงรักภักดีต่อพระองค์ แต่ทรงไม่เลือกที่จะปฏิบัติเช่นนั้น หากผู้นำทางการเมืองในวันนี้ ย้อนกลับไปดูเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2482 และก่อนหน้านั้นและนำพระราชจรรยามาปฏิบัติตาม การสัมมนาครั้งนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น แต่เป็นเพราะการเมืองระดับชาติกระทำตัวในลักษณะขิงก็ราข่าก็แรง ชักจูงให้ประชาชนขัดแย้งกัน ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องพึ่งผู้นำตัวจริง คือ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้ปกครองท้องที่ หากผู้ปกครองเดินตามพระราชจรรยาของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยคงไม่ฉีกหน้ายักษ์เข้าหากัน ตนจึงขอฝากผีฝากไข้ประเทศไทยไว้กับผู้นำระดับท้องถิ่นทุกคน