คมชัดลึก : "เคอิโงะ" ปาดน้ำตาหลังคุยกับพ่อร่วมชั่วโมง เผยพ่อยังไม่แต่งงานใหม่ รอให้โตก่อนตัดสินใจอยู่ไทยหรือญี่ปุ่น คาดเดือน 7-8 พ่ออาจมาเยี่ยม ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สัญญาจะเป็นเด็กดี โผล่อีกรายที่ 4 "โชตะ ชิโมโตะ" ลูกครึ่งญี่ปุ่นวัย 15 ตามหาพ่อ แม่ระบุขาดการติดต่อกว่า 4 ปี
ในที่สุดความฝันของเด็กชายลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ที่ต้องการพบหน้าและพูดคุยกับพ่อซึ่งอยู่ไกลโพ้นถึงแดนปลาดิบ ก็ใกล้เป็นความจริงเข้ามาทุกขณะ ภายหลัง ด.ช.เคอิโงะ ซาโต ลูกครึ่งญี่ปุ่น อายุ 9 ขวบ และนางปัทมา จตุพิศ ป้าของ ด.ช.เคอิโงะ เดินทางจาก จ.พิจิตร เข้ากรุงเทพมหานครตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม เพื่อจะไปคุยกับ นายคัทซูมิ ซาโต บิดาชาวญี่ปุ่น หลังจากได้รับการประสานจากสถานทูตญี่ปุ่นว่า พ่อพร้อมจะพูดคุยผ่านระบบสื่อสารในวันที่ 22 พฤษภาคม
ในช่วงเช้าวันที่ 22 พฤษภาคม ด.ช.เคอิโงะ ไปออกรายการ "เช้าข่าวข้น คนข่าวเช้า" ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ทีวี แล้วเดินทางกลับมาที่โรงแรมเรดิสัน พระราม 9 จากนั้นก็ชักชวนเพื่อนที่ร่วมเดินทางมาจาก จ.พิจิตร ไปเล่นน้ำในสระว่ายน้ำของโรงแรม ที่ชั้น 5 โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ห้องอาหารชั้น 2 ด.ช.เคอิโงะสั่งอาหารญี่ปุ่นประเภทซูชิมารับประทาน โดยบอกว่าอยากกินอาหารญี่ปุ่น และเลือกสั่งข้าวปั้นห่อสาหร่าย แต่หลังจากรับประทานได้สักพักก็มีอาการปวดท้อง และงอแง ขอต่อรองกับนางปัทมาว่าอยากได้สมุดระบายสี ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้สื่อข่าวช่อง 7 ได้มอบให้เป็นของขวัญ โดยรับปากว่า ถ้าได้สมุดระบายสีแล้วจะไม่งอแง
ต่อมา ด.ช.เคอิโงะ และป้า พร้อมกับเพื่อนๆ ได้กลับไปพักผ่อนที่ห้องเลขที่ 926 ชั้น 9 โดยมีกำหนดเดินทางไปสถานทูตญี่ปุ่นในเวลา 13.00 น. โดยไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินที่สถานีพระราม 9 ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่รถไฟฟ้าใต้ดินคอยอำนวยความสะดวกให้ตลอดการเดินทาง
กระทั่งเวลา 12.00 น. ด.ช.เคอิโงะลงมาจากห้องพัก เพื่อรับประทานอาหารเที่ยงพร้อมกับเพื่อน ป้า และคุณครู ที่ร้านอาหารญี่ปุ่น "นิชิกิ" โดย ด.ช.เคอิโงะ สั่งเทมปุระกุ้ง ตามด้วยไอศกรีมช็อกโกแลตชิพ หลังรับประทานอาหาร ด.ช.เคอิโงะได้ฝึกทำอาหารญี่ปุ่นกับพ่อครัวชาวญี่ปุ่น โดยฝึกทำเทมปุระกุ้ง ข้าวปั้น ซูชิไข่กุ้ง เมื่อทำเสร็จได้แจกให้เพื่อน ป้า และสื่อมวลชน ด้วยอาการร่าเริงแจ่มใส ทั้งนี้ ด.ช.เคอิโงะ อุ้มตุ๊กตาหมีที่ได้เป็นของขวัญจาก พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ไม่ห่างกาย ซึ่งตุ๊กตาหมีตัวนี้ ด.ช.เคอิโงะ รักมาก และต้องการจะมอบให้พ่อเป็นของขวัญ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในโรงแรมมีกองทัพสื่อมวลชนทุกแขนง ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ มาเฝ้าทำข่าว ด.ช.เคอิโงะจำนวนมาก
หลังรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จสิ้น ด.ช.เคอิโงะ สวมเสื้อยืดสีแดง กางเกงสีขาว ที่กงสุลวุฒิโรตม์ รัตนะสิงห์ ส่งมาให้ มีข้อความติดกล่องของขวัญระบุว่า "หนูเคอิโงะเปิดกล่องใหญ่ที่ท่านกงสุลวุฒิโรตน์ ฝากมาให้นี้ และเอาเสื้อสีแดง กางเกงสีขาว สีของธงชาติญี่ปุ่นใส่ ไปพูดกับคุณพ่อของหนูในวันนี้นะ และที่สถานทูตญี่ปุ่น อย่าลืมโค้งทำความเคารพทุกคนที่นั้นด้วย" นอกจากนี้ยังมอบของเล่นและหนังสือฝึกเขียนภาษาญี่ปุ่นมาให้อีกด้วย
จากนั้นเวลา 14.00 น. ด.ช.เคอิโงะเดินทางไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่สถานีพระราม 9 เพื่อไปลงสถานีลุมพินี โดยมีนายคมทัศน์ ชัยภักดี ผู้อำนวยการสำนักงานผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) พร้อมเจ้าหน้าที่รอต้อนรับ และมอบโมเดลรถไฟฟ้า พร้อมหมวกสีเขียวให้แก่ ด.ช.เคอิโงะ และเพื่อนๆ ซึ่งการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินครั้งนี้สร้างความสนใจให้แก่ประชาชนที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินเป็นอย่างมาก
เมื่อ ด.ช.เคอิโงะ เดินทางถึงสถานทูตญี่ปุ่น มีบรรดาสื่อมวลชนทั้งญี่ปุ่นและไทยจำนวนมากมารอรายงานข่าว กระทั่งถึงบริเวณด้านหน้าสถานทูต ด.ช.เคอิโงะกล่าวว่า รู้สึกดีใจ อยากให้พ่อมาหาที่เมืองไทย อยากให้พ่อมาเที่ยวเมืองไทย ถ้าพ่อมาจะเอาตุ๊กตาหมีให้พ่อ แต่ถ้าพ่อมารับไปญี่ปุ่นตอนนี้ยังไม่ไป ขอเรียนที่เมืองไทยก่อน จากนั้นได้เดินเข้าไปภายในสถานทูต โดยเจ้าหน้าที่อนุญาตให้สื่อเข้าไปด้านในสถานทูตด้วย
ในที่สุดเวลา 15.30 น. ที่ ด.ช.เคอิโงะ รอคอย เนื่องจากเป็นเวลาที่เจ้าหน้าที่สถานทูตญี่ปุ่นนัดหมายให้ ด.ช.เคอิโงะ คุยกับพ่อผ่านทางโทรศัพท์
ต่อมาเวลา 16.45 น. นายชินายะ อาโอกิ ผู้อำนวยการสำนักข่าวสาร สถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย พร้อมด้วย ด.ช.เคอิโงะ และนางปัทมา แถลงข่าวเกี่ยวกับการพูดคุยกับนายคัทซูมิ โดยนายชินายะกล่าวว่า เนื่องจากครอบครัวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ ด.ช.เคอิโงะ ได้ประสานมายังสถานทูตญี่ปุ่นว่า อยากติดต่อพูดคุยกับพ่อชาวญี่ปุ่นที่หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม ต่อมาวันที่ 15 พฤษภาคม สถานทูตญี่ปุ่นได้ประสานกับพ่อของ ด.ช.เคอิโงะ และจากการสอบถามเบื้องต้น นายคัทซูมิยอมรับว่า ด.ช.เคอิโงะ เป็นลูกชายจริง ส่วนภรรยาชาวไทยได้หย่าร้างกันเมื่อ 5 ปีที่แล้ว และจะติดต่อพูดคุยกับลูกชายเร็วๆ นี้ กระทั่งวันนี้ (22 พ.ค.) นายคัทซูมิได้ติดต่อมาที่สถานทูตญี่ปุ่นทางโทรศัพท์ เมื่อเวลา 15.30 น. โดยใช้เวลาคุยกับ ด.ช.เคอิโงะ กว่า 50 นาที ส่วนรายละเอียดไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากเป็นเรื่องส่วนตัว ทางสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยได้พยายามเต็มที่แล้ว และดีใจมากที่ประสบผลตามต้องการ สามารถติดต่อพ่อของ ด.ช.เคอิโงะมาพูดคุยกันได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด.ช.เคอิโงะมีสีหน้าแปลกๆ ก่อนแถลงข่าวก็ร้องไห้ โดยกล่าวว่า รู้สึกดีใจ แต่การสื่อสารกับพ่อไม่รู้เรื่อง เพราะคุยแต่ภาษาอังกฤษกับญี่ปุ่น และไม่ได้พูดคุยกับพ่อโดยตรง เนื่องจากอยู่กันคนละห้องกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีพี่ผู้หญิงคนหนึ่งคอยดูแลให้ช็อกโกแลตกิน ซึ่งคำแรกที่พูดคุยกับพ่อคือ "สวัสดี"
ขณะที่นายชินายะกล่าวว่า ขณะพูดคุยกันนั้น ทุกคนอยู่รวมในห้องเดียวกันหมด ทั้งเจ้าหน้าที่สถานทูต ด.ช.เคอิโงะ นางปัทมา และล่าม
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ผู้ประสานงานและญาติของ ด.ช.เคอิโงะ ได้เตรียมล่ามไปด้วย เป็นอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นที่ จ.พิจิตร แต่เจ้าหน้าที่สถานทูตไม่อนุญาตให้เข้าร่วมพูดคุยด้วย ทำให้ผู้ประสานงานตั้งข้อสังเกตว่า ฝ่ายสถานทูตต้องการให้รับข้อมูลด้านเดียว ซึ่งการสื่อสารจากพ่อที่ส่งมานั้นอาจเป็นสีดำ แต่ก็ถูกแปลให้เป็นสีขาว เมื่อมาถึงหูของ ด.ช.เคอิโงะ
ทั้งนี้ สมาคมชาวจังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ประสานตามหาพ่อและมีข้อตกลงว่าจะรับผิดชอบด้านปัจจัยสี่ให้ ด.ช.เคอิโงะ จะได้พา ด.ช.เคอิโงะไปแถลงข่าวอีกครั้งอย่างละเอียด ที่โรงแรมริเวอร์ไซด์ และจะอนุญาตให้สื่อมวลชนได้สอบถามอย่างเต็มที่ เชื่อว่าเด็กจะพูดแต่ความจริง
กระทั่งเวลา 18.20 น. ที่ห้องไกรทอง โรงแรมริเวอร์ไซด์ มีการจัดแถลงข่าวเปิดใจ ด.ช.เคอิโงะ โดยระหว่างที่นั่งโต๊ะแถลง ด.ช.เคอิโงะมีอาการเมารถและอยู่ในอาการอ่อนเพลีย พนักงานโรงแรมจึงนำน้ำแดงมาให้ดื่มเพื่อให้สดชื่น จากนั้น ด.ช.เคอิโงะเล่าว่า พ่อถามสารทุกข์สุกดิบเกี่ยวกับสุขภาพและความเป็นอยู่ แต่พ่อก็ยังไม่ได้พูดว่าจะเดินทางมาเมืองไทยเมื่อใด
"รู้สึกดีใจที่ได้คุยกับพ่อ ได้คุยกันหลายๆ เรื่องและได้บอกหลายๆ อย่าง แต่พูดไปหนูก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะพ่อพูดภาษาญี่ปุ่นต้องมีล่ามแปลให้ อยากขอบคุณพระราชินี หนูสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี ขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรที่ช่วยหลายๆ อย่าง" ด.ช.เคอิโงะกล่าว
ด้าน นางปัทมา ผู้เป็นป้า ด.ช.เคอิโงะ ได้นำภาพถ่ายที่นายคัทซูมิ ถ่ายภรรยากับ ด.ช.เคอิโงะสมัยยังเล็กมาโชว์สื่อมวลชน โดยอ้างว่าเป็นภาพถ่ายโดยโทรศัพท์มือถือซึ่งพ่อของเด็กก็พกติดตัวไว้ตลอด และส่งผ่านทางอีเมลมาทางสถานทูตญี่ปุ่น ก่อนจะนำไปอัดเป็นภาพมาโชว์ อย่างไรก็ตาม ด.ช.เคอิโงะ แม้จะยิ้มแย้มแต่ก็มีอาการอ่อนเพลีย
นางปัทมากล่าวว่า ที่คุยกันพ่อของ ด.ช.เคอิโงะ ถามคำถามแรกว่า "เหนื่อยไหม อยากเป็นหมอเหรอ พ่อไม่ค่อยชอบเรียนหนังสือ เรียนหนังสือเก่งพ่อก็ดีใจ และยังจำได้สมัยที่มีครอบครัวอยู่ยังเก็บรูปถ่ายไว้ตลอด คิดถึงเสมอไม่เคยลืม ขณะนี้ยังไม่มีครอบครัวและมีน้องคนเดียว แต่ก็ไม่ได้พูดถึงสาเหตุที่หายไป"
"น้องมีกำลังใจขึ้นเยอะและนายคัทซูมิบอกว่าจะกลับมาไหว้อัฐิของเมีย และบอกว่าเดือน 7-8 ถ้าว่างจะมา และรอให้น้องโตกว่านี้ก่อน เพื่อให้ตัดสินใจว่าอยากอยู่เมืองไทยหรืออยากไปญี่ปุ่น ส่วนเคอิโงะก็ดีใจจนร้องไห้" นางปัทมากล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า นายตราชู กาญจนสถิตย์ ผู้บริหารบริษัทอาซาฮีจะออกค่าใช้จ่ายตั๋วเครื่องบินให้ ด.ช.เคอิโงะ หากต้องการเดินทางไปหาพ่อที่ญี่ปุ่น รวมถึงหากนายคัทซูมิจะเดินทางมาที่ประเทศไทยก็พร้อมออกเงินค่าตั๋วเครื่องบินเช่นเดียวกัน คาดว่าในวันที่ 5-6 กันยายนนี้ หากนายคัทซูมิว่างอาจจะเดินทางมาเที่ยวงานแข่งเรือที่วัดท่าหลวง อ.เมือง จ.พิจิตร
ต่อมาเวลา 19.30 น. ด.ช.เคอิโงะพร้อมคณะได้ลงเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยา
หลังปรากกฏการณ์ ด.ช.เคอิโงะ ได้สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กหลายคนที่เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นออกมาเรียกร้องหาพ่อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจาก น.ส.นารูมิ ฮามาดะ ที่ จ.เชียงใหม่ ต่อมา ด.ช.ยามาโตะ นิอีมือระ หรือน้องแต่แต๊ อายุ 10 ปี นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาลวัดพวกช้าง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีนางปิยะฉัตร อาหมัด อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 31/2 ถนนเวียงพิงค์ ต.ช้างคลาน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เป็นผู้เลี้ยงดู มีผู้พามาร้องเรียนต่อสื่อมวลชน เพื่อให้ช่วยตามหาพ่อชาวญี่ปุ่นชื่อ นายมาซาโตะ นิอีมือระ อายุประมาณ 30 ปี ซึ่งทิ้งลูกไปตั้งแต่อายุได้เพียง 2 เดือน
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่สื่อมวลชนทั้งไทยและญี่ปุ่นรอทำข่าว ด.ช.เคอิโงะ ที่บริเวณหน้าสถานทูตญี่ปุ่นนั้น ปรากฏว่ามีนางสายฝน พึงพินิจ อายุ 45 ปี พานายโชตะ ชิโมโตะ อายุ 15 ปี ซึ่งเป็นออทิสติก เข้าร้องขอความเป็นธรรมต่อสื่อมวลชนว่า อยากให้สถานทูตญี่ปุ่นช่วยตามหาพ่อของนายโชตะ คือ นายมิคิโอะ ชิโมโตะ อายุ 67 ปี ที่ขาดการติดต่อมากว่า 7 ปี
นางสายฝนเล่าว่า จดทะเบียนสมรสกับนายมิคิโอะตั้งแต่ปี 2539 มีเอกสารการจดทะเบียนที่ประเทศญี่ปุ่นอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยังมีใบรับรองบุตรด้วย
นางสายฝนเล่าอีกว่า พบรักกับนายมิคิโอะขณะที่ฝ่ายชายมาทำงานที่ประเทศไทย ก่อนจะไปอยู่ด้วยกันที่ประเทศญี่ปุ่น ที่เมืองฮาเมจิ จ.เฮียวโตะ คลอดลูกที่ญี่ปุ่น และอยู่ได้ระยะหนึ่งก็เดินทางกลับประเทศไทย ขณะเดียวกันบริษัทแม่ได้เรียกตัวนายมิคิโอะกลับญี่ปุ่น แต่ก็มีการติดต่อสื่อสารและส่งเสียค่าใช้จ่ายให้ตนทุกเดือน ต่อมานายมิคิโอะขาดการติดต่อไปเฉยๆ เป็นเวลากว่า 4 ปี
"ฉันพาลูกมาตามหาพ่อตั้งแต่ปี 2549 แต่ไม่ได้รับความร่วมมือหรือช่วยเหลือเลย วันนี้ตอนแรกฉันก็ไม่ได้อยากมา เพราะก่อนหน้านี้เคยเดินทางมา 3 ครั้งแล้ว แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ ฉันรู้สึกอาย แต่เพื่อนบ้านแนะนำให้มา เผื่อพบกับสื่อมวลชน อาจจะทำให้ลูกชายฉันได้พบพ่อชาวญี่ปุ่น แม้ลูกจะป่วยเป็นออทิสติก แต่ก็รักและห่วงใยอยู่เสมอ หากว่าพ่อของน้องเสียชีวิตไปแล้วก็อยากจะเห็นเอกสารยืนยันอย่างเป็นทางการ เพื่อจะได้แน่ใจว่าฉันกับลูกไม่ได้ถูกทอดทิ้งอย่างโดดเดี่ยว แต่หากมีชีวิตอยู่ก็ขอแค่ให้โทรมาคุยกันบ้าง อย่าหายไปเฉยๆ ลูกชายจะได้มีกำลังใจในการใช้ชีวิตและเล่าเรียนหนังสือ ตอนนี้น้องโชตะอายุ 15 ยังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ พูดก็ไม่เป็นคำ ไม่ชัดเจน" นางสายฝนกล่าว