เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 17 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรับแจ้งว่ามีคนถูกกิ้งกือกัดบ่อยมากใน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา
และมีเสียงร่ำลือว่าหากกิ้งกือกัดแล้วจะไข่เอาไว้ในแผลทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิต จึงไปตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าผู้ที่ถูกกิ้งกือกัดคือนายกฤษดา ภาคอุบล อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6/1 หมู่ 3 ต.ตลาดเกรียบ นายกฤษดาเปิดเผยว่าตนถูกกิ้งกือกัดจริง ๆ โดยเมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังจากอาบน้ำเสร็จ กำลังหยิบผ้าเช็ดตัวมานุ่ง ก็เหลือบไปเห็นกิ้งกือสีดำยาวประมาณ 10 ซม.เกาะอยู่ แล้วกิ้งกือก็ดีดตัวออกจากผ้าเช็ดตัวมาเกาะที่ต้นขา และกัดติดอยู่ที่ขาของตน รู้สึกเจ็บเหมือนถูกหนามเกี่ยว จึงสะบัดจนกิ้งกือหลุด แล้วมีอาการแสบร้อนและเจ็บที่รอยกัด จึงเอายาหม่องทา กลับมีอาการคันและเจ็บตรงแผล รวมทั้งมีรอยผื่นเป็นวงกว้าง จึงไปหาแพทย์ รพ.บางปะอิน ฉีดยากันบาดทะยักและให้ยาแก้อักเสบ และแพทย์นัดให้ไปฉีดยาอีก 2 ครั้ง ทุกวันที่ 5 ของเดือน
ทางด้านนพ.เลิศชัย จิตเสรี ผอ.รพ. บางปะอิน กล่าวว่าตนทราบจากแพทย์และพยาบาลว่ามีชาวบ้านถูกกิ้งกือกัดมารักษาหลายราย แต่เป็นคำบอกเล่าของชาวบ้านเท่านั้น
เราไม่ได้เห็นตอนกิ้งกือกัด แต่การถูกสัตว์กัด หรือมีบาดแผลที่เกิดจากสัตว์นั้น จะมียาหลัก ๆ คือบาดทะยักและยาแก้อักเสบ คาดว่าความรุนแรงจากการกัดของกิ้งกือคงไม่น่าจะเป็นอันตรายมาก อย่างไรก็ตามขอเตือนประชาชนว่าในช่วงฤดูฝน ไม่ว่าจะถูกสัตว์อะไรกัดก็ควรไปหาแพทย์เพื่อตรวจสอบ และควรหลีกเลี่ยงการเดินในที่รก ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกสัตว์หรือแมลงทำร้าย.