ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะผู้บริหารเมื่อวันที่ 13 พ.ค. ที่ผ่านมา
สำนักการคลังนำเสนอร่างข้อบัญญัติจัดเก็บภาษีน้ำมันในกรุงเทพฯ ให้ที่ประชุมพิจารณา ซึ่งตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการ กทม. ปี 2528 ให้อำนาจกทม. เก็บภาษีน้ำมันได้ลิตรละ 5 สตางค์ แต่จนถึงขณะนี้ กทม. ยังไม่เก็บ ทำให้ราคาน้ำมันในกรุงเทพฯ ถูกกว่าต่างจังหวัดที่เก็บภาษีน้ำมันลิตรละ 10 สตางค์ไปแล้ว ซึ่งเดิมนายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯกทม. และสำนักการคลังวางเป้าหมายจะนำเสนอร่างข้อบัญญัติเข้าที่ประชุมสภากทม. เดือน ก.ค. นี้ เมื่อผ่านความเห็นชอบจะส่งไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาและให้มีผลบังคับใช้เริ่มเก็บราววันที่ 1 ต.ค. นี้
คาดว่าจะมีรายได้ราวปีละ 500 ล้านบาท วิธีจัดเก็บมี 2 แนวทางให้กรมสรรพสามิตเก็บให้สะดวกแต่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมราว 3%
และ กทม. เก็บเองแต่ต้องเก็บทุกเดือนซึ่งมีวิธีการที่ยุ่งยากเพราะต้องสำรวจปั๊มน้ำมันในพื้นที่กรุงเทพฯและเปิดขึ้นทะเบียนให้เจ้าของปั๊มน้ำมันไปชำระภาษีที่สำนักงานเขตทั้ง 50 เขต แต่ล่าสุดทางรัฐบาลจะเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันจาก 5 บาทเป็น 10 บาทต่อลิตร ตนไม่อยากซ้ำเติมประชาชน จึงเห็นว่า กทม. น่าจะชะลอการจัดเก็บไปก่อนไม่มีกำหนด
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรัฐบาลปรับลดงบอุดหนุนให้ กทม.ลงถึง 85% ทำให้ขาดรายได้มาก
ดังนั้นจะยังเดินหน้าในการยกร่างข้อบัญญัติฉบับนี้เพื่อเตรียมไว้หากว่าจะจัดเก็บดำเนินการได้ทันที แต่ให้ไปทบทวนร่างในหลายส่วน เช่น วิธีจัดเก็บที่รัดกุมและสะดวกที่สุด รวมทั้งเม็ดเงินที่ได้จะนำมาใช้เพื่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น เมื่อได้ข้อสรุปค่อยนำเสนอผู้บริหารและกำหนดเวลาเสนอสภา กทม.ใหม่ ซึ่งเมื่อผ่านสภาแล้วเป็นอำนาจผู้ว่าฯ กทม.ที่จะลงนามประกาศใช้หรือมีผลจัดเก็บจะดูสถานการณ์อีกครั้ง นอกจากนี้ในการแก้ไข พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกทม. ปี 2528 ที่ตนได้แต่งตั้งกรรมการมาพิจารณาแล้ว 2 ชุดนั้น จะเสนอให้เพิ่มอำนาจการจัดเก็บภาษีน้ำมันเท่าต่างจังหวัดคือลิตรละ 10 สตางค์ รวม ทั้งจัดเก็บภาษีบุหรี่มวนละ 10 สตางค์ และให้จัดเก็บภาษีโรงแรมได้ด้วย.