ประสานทูตยุ่น ช่วยดช.หาพ่อ

กระทรวงบัวแก้ว เตรียมประสานสถานทูตญี่ปุ่น ช่วยหนูน้อย "เคอิโงะ ซาโต" ลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นวัย 9 ขวบตามหาพ่อ

พ่อเมืองพิจิตรยื่นช่วยเบื้องต้น มอบเครื่องอุปโภคบริโภคตลอดจนทุนการศึกษา พร้อมประสานหน่วยงานช่วยเด็กตามหาพ่อ ครูประจำชั้นเผยหนูน้อยนิสัยดี โอบอ้อมอารี เรียนเก่ง เสียอย่างเดียวเซื่องซึม เคอิโงะพร้อมป้าออกทีวีเผยชีวิตรันทด ครวญอยากกอดพ่อ วอนมาหาที่วัดด้วย จะพาไปดูกระดูกแม่

จากกรณีด.ช.เคอิโงะ ซาโต อายุ 9 ขวบ ลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น เดินโชว์ภาพชายชาวญี่ปุ่นนายคัทซูมิ ซาโต พ่อผู้ให้กำเนิด

สอบถามนักท่องเที่ยวต่างชาติหรือชาวเอเชียที่เดินทางมากราบไหว้หลวงพ่อเพชรพระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองพิจิตร ภายในวัดท่าหลวง พระอารามหลวง อ.เมืองพิจิตร ว่า รู้จักพ่อหนูหรือไม่ โดยหนูน้อยเล่าชีวิตอันแสนรันทดว่า พ่อได้ทิ้งแม่ คือ นางทิพย์มณฑา ซาโต อายุ 33 ปี ไปตั้งแต่ตนยังเล็กๆ หลังจากแม่เสียชีวิตไปด้วยโรคร้ายเมื่อวันที่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมา ก็ทิ้งรูปพ่อสมบัติชิ้นสุดท้ายไว้ให้ พร้อมสั่งเสียไว้ว่า ถ้าอยากเจอพ่อให้ไปรอพ่อที่หน้าอุโบสถวัดท่าหลวง พระอารามหลวง จะได้เจอพ่อชาวญี่ปุ่น สร้างความรันทดแก่นักท่องเที่ยวไปตามๆ กัน โดยปัจจุบันด.ช.เคอิโงะอาศัยอยู่กับป้าชื่อ นางปัทมา จตุพิศ อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 686 ถ.บุษบา ต.ในเมือง อ.เมืองพิจิตร อาชีพขายปลาปล่อยหน้าโบสถ์วัดท่าหลวง พระอารามหลวง ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 12 พ.ค. นายสมชัย หทยะตันติ ผวจ.พิจิตร เดินทางไปที่บริเวณหน้าพระอุโบสถหลวงพ่อเพชร วัดท่าหลวง พระอารามหลวง

เพื่อติดตามเข้าช่วยเหลือและดูความคืบหน้ากรณีด.ช.เคอิโงะ โดยนายสมชัยระดมหน่วยงานราชการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นด้วยการมอบเครื่องอุปโภค บริโภค ทุนการศึกษา 5,000 บาท พร้อมทั้งพาหนูน้อยไปที่สำนักงานศูนย์บริหารงานทะเบียนภาค 6 สาขาพิจิตร ในที่ว่าการอำเภอเมืองพิจิตร เพื่อติดตามความเป็นมา เบื้องต้นพบว่า เกิดที่โรงพยาบาลตำรวจ เขตปทุมวัน กทม. แจ้งเกิดเมื่อวันที่ 28 ก.พ.2543 ในชื่อด.ช.เกอิโงะ มาเปลี่ยนชื่อเป็นด.ช.เคอิโงะ เมื่อวันที่ 24 มี.ค.2543 โดยระบุชื่อบิดาคือนายคัทซูมิ ซาโต ชาวญี่ปุ่น มารดาคือนางทิพย์มณฑา จันทร์ประทุม


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุด หนูน้อยเริ่มมีความหวังที่จะได้เจอหน้าพ่อแล้ว เมื่อมีประชา ชนให้ความสนใจมาขอดูรูปและสอบถามประวัติพ่อหลายรายและรับปากว่าและจะช่วยตามหาให้

ทำให้ด.ช.เคอิโงะ จากที่เคยเศร้าสร้อย มีใบหน้ายิ้มแย้มขึ้นมาทันที เชื่อว่าฝันที่จะได้เจอพ่อบังเกิดเกล้าอาจจะเป็นจริงขึ้นมาได้ นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านร่วมบริจาคเงินเพื่อเป็นทุนการศึกษาแล้วจำนวนหนึ่งด้วย นายสมชัย กล่าวว่า จะหาวิธีช่วยเหลือ 2 ทาง คือ ทางการศึกษาและการสงเคราะห์ เรื่องการศึกษาได้มอบให้นายสุรเสน ทั่งทอง ผอ. สพฐ.พิจิตร เขต 1 ตั้งคณะกรรมการขึ้นดูแลช่วยเหลือจนกว่าจะเรียนจบภาคบังคับ 15 ปี ส่วนเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ จะมอบให้นายประสิทธิ์ มีช้าง ผอ.พม.พิจิตร เป็นผู้ให้การช่วยเหลือร่วมกับองค์กรภาคเอกชนรวมถึงเหล่ากาชาด จ.พิจิตร ที่จะเข้ามาโอบอุ้มต่อไป

นายสมชัย กล่าวอีกว่า ในส่วนของการติดตามหาพ่อ คือ นายคัทซูมิ ซาโต ชาวญี่ปุ่นนั้น ได้ให้สำนักทะเบียนเร่งสืบค้น

โดยอาจต้องขอความร่วมมือไปยังสถานทูต หรือสถานกงสุลของประเทศญี่ปุ่นที่ประจำอยู่ในประเทศไทย รวมถึงขอข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้ช่วยสืบค้นประวัติการเดินทางเข้าประเทศไทยของนายคัทซูมิ ว่าเข้ามาเมืองไทยอยู่ที่ไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่ และช่วงที่อยู่ในเมืองไทยมีถิ่นพำนักที่ใดบ้าง เพื่อเชื่อมโยงให้ลูกกับพ่อได้พบกัน

นายกร ยอดเยาว์ ผอ.โรงเรียนอนุบาลเมืองท่าหลวงสงเคราะห์ กล่าวว่า ด.ช.เคอิโงะนิสัยดี เรียนเก่ง เกรดชั้นป.3 ที่ผ่านมาระดับ 3 กว่า และยังมีมิตรไมตรีที่ดีต่อเพื่อน

ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหาร ก็จะแบ่งปันให้เพื่อน หรือหากครูให้เงินไปซื้อขนมกินเพราะความสงสาร ถ้าหนูน้อยมีเงินก็จะไม่รับ และจะแจ้งกับครูตรงๆ ว่า มีแล้ว ไม่เอาเพิ่มอีก ทำให้เป็นที่ภูมิใจของครูอย่างมาก นางทรรศนีย์ สอนสุด ครูประจำชั้นด.ช. เคอิโงะ กล่าวว่า ด.ช.เคอิโงะเป็นเด็กตั้งใจเรียน ผลการเรียนอยู่ในระดับดีถึงดีมาก แต่นิสัยค่อนข้างเซื่องซึม มีความเสียสละสูง บางครั้งได้อาหารที่เป็นขนมมาจากทางวัดที่พระท่านเมตตาให้มาก็จะเอามาแบ่งเพื่อนๆ กิน จึงเป็นที่รักใคร่ของเพื่อนร่วมชั้นเรียน และหลังเลิกเรียนหรือเสาร์อาทิตย์ก็จะออกมาขายอาหารเลี้ยงปลาหน้าวัดและถือรูปภาพตามหาพ่ออย่างที่เป็นข่าว ตนขอวิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือหลวงพ่อเพชรดลบันดาลให้ฝันของหนูน้อยได้พบพ่อสมปรารถนา

นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กล่าวว่า เบื้องต้นตนสั่งการให้เจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ไปพบด.ช.เคอิโงะแล้ว

เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพ่อของเด็ก จากนั้นจะติดต่อไปยังสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เพื่อให้ช่วยติดตามหานายคัทซูมิ ส่วนการช่วยเหลือเด็กเบื้องต้นจะมอบเงินสงเคราะห์ให้เด็ก 3,000 บาท จ่ายครั้งละ 1,000 บาท จำนวน 3 ครั้งต่อปี ส่วนเรื่องค่าเล่าเรียนกระทรวงศึกษาธิการดูแลอยู่แล้ว ซึ่งหากเด็กยังอยู่ในความดูแลของป้าก็จะช่วยเงินสงเคราะห์อีก 6,000 บาท จ่ายครั้งละ 2,000 บาท รวม 3 ครั้งต่อปี รวมเงินช่วยเหลือทั้งตัวเด็กและป้าเป็น 9,000 บาทต่อปี นอกจากนั้นจะช่วยหาอาชีพที่มีรายได้ดีและเหมาะสมให้ป้าของเด็กเพื่อเป็นกำลังในการเลี้ยงดูหลานด้วย

นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ ผอ.มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก และกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ กล่าวว่า การช่วยเหลือเบื้องต้นนั้น กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ต้องเข้าไปดูแลเด็กในเรื่องความเป็นอยู่

ส่วนการช่วยเหลือในการติดตามหาพ่อชาวญี่ปุ่นทำได้ 2 ทาง คือ ประสานข้อมูลมาที่ตนก็ได้ เพื่อจะได้ติดต่อผ่านเครือข่ายเอ็นจีโอในประเทศญี่ปุ่น หรือส่งข้อมูลให้สื่อ เช่น รีดเดอร์ไดเจสต์ ที่มีโครงการตามหาครอบครัว และทำโครงการสำเร็จมาหลายราย ทั้งนี้ข้อมูลที่ใช้ในการติดตามตัวพ่อของเด็กชายลูกครึ่งญี่ปุ่นรายนี้ นอกจากชื่อและรูปภาพแล้ว ควรหารายละเอียดให้มากที่สุด เช่น พ่อแม่ของเด็กพบกันครั้งแรกที่ไหน เมื่อใด เป็นต้น เพื่อให้ทางญี่ปุ่นติดตามหาได้ง่ายมากขึ้น

"ปัญหาคือในระหว่างที่ยังตามหาพ่อของเด็กไม่พบ ตามพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ต้องเข้าไปดูแลให้เด็กมีครอบ ครัวทดแทน ให้มีคนช่วยเหลือเด็กโดยตรง แต่ก็อยากให้ทำความเข้าใจกับเด็กเบื้องต้น เพราะข้อมูลเฉพาะหน้าที่ทราบเราเป็นห่วงว่าพ่อของเด็กจะรับผิดชอบหรือไม่ มิฉะนั้นก็น่าจะมาตามหาลูกตั้งนานแล้ว คงต้องรอตามหาตัวชายชาวญี่ปุ่นให้พบก่อนว่าจะรับผิดชอบลูกชายอย่างไร" นายสรรพสิทธิ์ กล่าว

ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ เปิดเผยว่า นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ สั่งให้สำนักงานหนังสือเดินทางที่ จ.พิจิตรไปพบเด็ก

เพื่อหาข้อมูลและประสานไปยังสถานเอกอัครราชทูต กรุงโตเกียว และสถานกงสุลใหญ่ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของญี่ปุ่นตรวจสอบว่าจะมีหน่วยงานไหนในญี่ปุ่นช่วยเหลือได้บ้างในการสืบหาพ่อเด็ก ขณะเดียวกัน ให้สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยช่วยกันสืบหาอีกทางหนึ่ง


เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์