เงินกองทุนฯอุ้มได้แค่เดือน หวังรัฐทยอยเก็บภาษีน้ำมันไม่งั้นประชาชนช็อก

รมว.พลังงาน เผย จะดูแลไม่ให้ราคาขายปลีกน้ำมันขยับขึ้นในช่วงแรกด้วยการลดเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ดูได้ประมาณ 1 เดือน หลังจากนั้นคงต้องปล่อยให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง


นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงกรณีที่กระทรวงการคลังเตรียมจะขยายอัตราเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพิ่มขึ้นจาก 5 บาทเป็น 10 บาทต่อลิตรว่า การขึ้นภาษีฯน้ำมันนั้น รัฐบาลควรจะทยอยการปรับขึ้นแล้วใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามารับภาระ เพื่อไม่ให้กระทบราคาขายปลีก เมื่อราคาน้ำมันลดลงจึงทยอยการจัดเก็บ เนื่องจากจะกระทบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้ "ต้องยอมรับความจริงว่า แม้จะใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาดูแล แต่การขึ้นภาษีก็คือการขึ้นราคาน้ำมัน เพราะท้ายสุด ประชาชนต้องเป็นผู้จ่ายคืนรัฐ ช่วงน้ำมันขาลงต้องชี้แจงจุดนี้ เพื่อไม่ให้เกิดการใช้ฟุ่มเฟือย

ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจากนี้ไปน้ำมันตลาดโลกจะเป็นอย่างไร และกองทุนน้ำมันฯเองจะดูแลได้นานเพียงใด แต่ต้องดูให้ดีเพราะขึ้นครั้งละมากๆก็อาจมีผลด้านจิตวิทยาได้ เพราะผู้บริโภคก็จะมองว่ารายจ่ายจะเพิ่มขึ้นและผู้ผลิตสินค้า ขนส่งอาจฉวยโอกาสขึ้นราคาได้ ต้องดูแลจุดนี้ให้ดีด้วย"

สำหรับแรงซื้อของคนไทยปัจจุบัน ภาพรวมยังทรงตัวโดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค แต่ในแง่ของสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ ยังคงลดลง แต่ก็เริ่มมีการฟื้นตัวบ้างเล็กน้อยในบางรายการ ซึ่งหากเศรษฐกิจฟื้นตัว คาดว่าสินค้าเหล่านี้จะมียอดขายที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นตามลำดับ ซึ่งก็หวังว่าเศรษฐกิจโลกและไทยจะดีขึ้นในช่วงปลายปีนี้


นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน กล่าวว่า หวังว่ากระทรวงการคลังคงจะไม่ขึ้นภาษีสรรพสามิตเต็มเพดานที่กระทรวงการคลังได้เตรียมปรับจาก 5 บาทเป็น 10 บาท/ลิตร เพราะไม่เช่นนั้นแล้วคงกระทบต่อผู้บริโภค

เพราะแม้ว่ากระทรวงพลังงานจะเข้าร่วมดูแลไม่ให้ราคาขายปลีกน้ำมันขยับขึ้นในช่วงแรกด้วยการลดเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ก็ดูคงแลได้ในระยะสั้น ประมาณ 1 เดือนเท่านั้น หลังจากนั้นคงต้องปล่อยให้ราคาสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เพราะหากเข้าไปอุดหนุนมากเกินไปจะเป็นการส่งสัญญาณที่ผิด จะทำให้ประชาชนเกิดการฟุ่มเฟือย ส่งผลต่อการนำเข้าน้ำมันมากเกินไป