นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า หลังจากที่มีข่าวการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโก (ไข้หวัดหมู) ออกมานั้น ส่งผลกระทบทางจิตวิทยาของนักลงทุน ทำให้ราคาทองคำผันผวน
เนื่องจากนักลงทุนได้คาดการณ์ว่า การระบาดของโรคดังกล่าวจะซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจโลกให้ชะลอตัวลงไปอีก ส่งผลให้ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวลดลง 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากราคา 907 ดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 897 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
ขณะที่ทิศทางราคาทองคำระยะสั้น ยังคงแกว่งตัวในช่วงแคบ ๆ ระหว่าง 880-920 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
แต่ระยะยาวราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้น โดยประเมินว่าราคาอาจทะลุ 1,060 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งทำให้ราคาทองคำในประเทศกลับขึ้นมามากกว่าบาทละ 17,000 บาท หากค่าเงินบาทยังทรงตัวในระดับปัจจุบัน 35.50-35.60 บาท และมีข่าวมาสนับสนุน รวมทั้งการเก็งกำไรของกองทุน เก็งกำไร (เฮจฟันด์) ซึ่งจะเก็งกำไรในทองคำ หุ้น น้ำมัน เพราะเฮจฟันด์เชื่อว่า ทองคำเป็นทรัพย์สินที่มีความมั่นคงมากที่สุดในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ดังนั้น ในช่วงที่ราคาทองคำถูกลงนี้ แนะนำให้นักลงทุนซื้อทองเก็บไว้
ส่วนกรณีที่ราคาทองคำปรับฐานลงมาต่ำกว่า 900 ดอลลาร์สหรัฐมาระยะหนึ่ง
หลังมีข่าวว่ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) จะนำทองคำออกมาขาย 400 ตัน เชื่อว่าจะยังไม่มีผลทันที เพราะต้องผ่านมติสภาคองเกรส และสมาชิกอีก 185 ประเทศ และแม้ว่าไอเอ็มเอฟ จะขายทองคำออกมา 400 ตันจริง ถือว่าไม่มาก และไม่มีผลต่อตลาดทองคำมากนัก
“ผมเชื่อว่าราคาทองคำโลกมีโอกาสที่จะทำลายสถิติสูงสุดจากเดิมที่ราคา 1,034 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ไปแตะที่ 1,060 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ได้ภายในไตรมาส 2-3 ของปีนี้ เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจโลกยังคงย่ำแย่ เงินทุนจะหันมาเก็งกำไรทองคำมากขึ้น แต่ทั้งนี้ ราคาทองคำที่ผันผวนนั้น เป็นเพราะยังอยู่ในช่วงปรับฐานของนักลงทุน แต่แนวโน้มระยะยาวราคาทองคำยังสูงขึ้นได้อีก”
นายจิตติ กล่าวว่า พร้อมกันนี้มีความเห็นว่า สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (โกลด์ฟิวเจอร์) ควรอยู่ที่สัญญาละ 100 บาท เพราะตลาดโกลด์ฟิวเจอร์เป็นการลงทุนที่ต้องอาศัยองค์ความรู้มาก เหมาะแก่การลงทุนในระดับสูง หากนักลงทุนระดับล่างมาลงทุนอาจขาดทุนได้ง่าย เพราะอาจไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารที่ครบถ้วนและรวดเร็วเพียงพอ
“ส่วนการส่งออกทองคำนั้น ในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มีการส่งออกกันมากทั้งเดือน แต่ในเดือน เม.ย.นี้ กลับไม่ได้มีการส่งออก หรือนำเข้าทองคำมาแต่อย่างใด เพราะราคาไม่ได้เปลี่ยนแปลงสูงจนมีนัยให้ซื้อขายเพื่อเก็งกำไรแต่อย่างใด และคาดว่าเดือน เม.ย.นี้ การส่งออกทองคำอาจเป็นตัวเลขติดลบได้”
นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง กล่าวว่า ได้ตั้งข้อสังเกตไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ไปตรวจสอบว่ามีการเก็งกำไรในตลาดโกลด์ฟิวเจอร์หรือไม่
และให้ระมัดระวังเรื่องดังกล่าว พร้อมทั้งให้ศึกษาแนวทางปรับหลักเกณฑ์ตลาดโกลด์ฟิวเจอร์ใหม่ จากเดิมที่กำหนดให้ซื้อขายทองคำน้ำหนัก 50 บาทต่อสัญญานั้น น่าจะเพิ่มเป็น 100 บาท เพื่อป้องกันการเก็งกำไร และไม่ให้มีผลกระทบต่อร้านค้าทองคำ เพราะขณะนี้มีนักลงทุนรายย่อยเข้ามาเก็งกำไรในการซื้อขายทองคำเป็นจำนวนมาก อนาคตอาจมีผลกระทบต่อร้านค้าทองคำที่ต้องปิดตัวลงไป.