นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีสถานบริการซานติก้าผับ เปิดเผยว่า
จากการพิจารณาตามข้อกฎหมายของกรมสรรพสามิตและการเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ปากคำกรณีซานติก้าผับ ที่ประชุมมีมติว่าซานติก้าผับต้องเสียภาษีสรรพสามิตในอัตรา 10% ของรายรับ ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจประเภทไนต์คลับและดิสโก้เธคที่มีองค์ประกอบครบ 3 ประการคือ
1. มีสถานที่
2. มีการดื่มกินและเต้นรำ โดยมีการจัดแสดงดนตรีหรือใช้เครื่องเสียง หรือการแสดงอื่นใดเพื่อการบันเทิง
และ 3. มีเจตนาดื่มกินและเต้นรำ ต้องเสียภาษีสรรพสามิตตามที่กฎหมายกำหนด แม้จะไม่ได้ จัดสถานที่สำหรับเต้นรำหรือฟลอร์เต้นรำ ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ไม่กล้าเก็บภาษี เพราะกฎหมายอาจไม่ชัดเจน แต่เมื่อคณะกรรมการฯพิจารณาแล้วเห็นว่าต้องเสียภาษี กรมสรรพสามิตก็ต้องนำคำตัดสินไปสู่การปฏิบัติ ส่วนอดีตที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตจะมีการลงโทษเจ้าหน้าที่หรือไม่ เป็นเรื่องที่กรมจะพิจารณาต่อไป
นายสถิตย์กล่าวว่า เหตุผลสำคัญที่คณะกรรมการฯเห็นว่าซานติก้าผับต้องเสียภาษีสรรพสามิตเนื่องจากคณะกรรมการได้เชิญลูกค้าของซานติก้าผับ 2 รายมาให้ปากคำ
ซึ่งยอมรับว่ามีการเต้นรำเกิดขึ้นจริง แม้ทางร้านจะไม่ได้จัดเตรียมสถานที่ไว้ก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติแล้วเมื่อมีการกระทำเกิดขึ้นคือเต้นรำและมีการดื่มกินก็ถือว่าครบองค์ประกอบ โดยตนได้รายงานให้ นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง รับทราบแล้ว เพื่อให้มีคำสั่งไปถึงกรมสรรพสามิต