“ชาตรี” ห่วงเศรษฐกิจไทยติดบ่วง!

นายชาตรี โสภณพนิช ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า วิกฤติการเงินสหรัฐฯได้ส่งผลกระทบไปทั่วโลกรวมทั้งไทย

ซึ่งเชื่อว่าต้องใช้เวลา 2-3 ปี เศรษฐกิจโลกจึงจะฟื้นตัวได้ ซึ่งเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพิงการส่งออกเป็นหลัก จึงได้รับผลกระทบจากประเทศคู่ค้าที่มีปัญหา ส่วนกรณีที่ประเทศในกลุ่มยุโรปและสหรัฐฯ มีมุมมองและแนวคิดที่ต่างกันในการฟื้นเศรษฐกิจจึงไม่แน่ใจว่าสุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไร
“ห่วงเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะการส่งออกที่ลดลง โดยเฉพาะชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและเสื้อผ้า ส่วนส่งออกข้าวและการเกษตรไม่เป็นห่วงเท่าไหร่ แต่ภาคโรงแรมก็น่าห่วงเพราะอัตราการเข้าพักลดลง หากไม่สามารถแก้ปัญหาได้เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกและไทยต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีกว่าจะฟื้น”

นายชาตรี กล่าวต่อว่า สำหรับภาคการเงินนั้นไม่น่าเป็นห่วง เพราะฐานะการเงินของภาคการเงินไทยโดยรวมแข็งแกร่ง

มีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควบคุมอยู่ กระดุกกระดิกตัวไม่ได้เลย ที่สำคัญภาคการเงินไทยมีประสบการณ์จากวิกฤติต้มยำกุ้ง ทำให้มีความระมัดระวัง ส่วนธนาคารกรุงเทพนั้นจากตัวเลข 2-3 ปีที่ผ่านมา ถือว่ายังใช้ได้เพราะแข็งแกร่งดี ซึ่งธนาคารต้องเติบโตต่อเนื่องตามภาวะตลาด ส่วนสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากก็อยู่ในอัตราที่ดีแข็งแรงพอสมควร ปัจจุบันอยู่ที่ 85-90%

ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทยกล่าวว่า ขณะนี้การติดตามหนี้ของธนาคารมีความถี่มากขึ้น

เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำ ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าอาจปรับลดลงบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นทำให้จำนวนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารเพิ่มขึ้นจนน่ากังวล ซึ่งธนาคารได้เข้าไปช่วยเหลือลูกค้ามากขึ้นเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤติ โดยการช่วยเหลือลูกค้าธนาคารจะต้องดูเป็นรายกรณีว่ามีความหนักเบาแค่ไหน โดยฝ่ายสินเชื่อต้องเข้าไปดูแลลูกค้าในลักษณะเป็นที่ปรึกษาให้ เช่น หากลูกค้าโรงงานเหล็กยอดขายไม่ดีก็ให้ลูกค้ารับเหมาฯไปรับซื้อเหล็กจากลูกค้าที่มีปัญหา เพราะเขาต้องซื้อเหล็กมาใช้ทำธุรกิจอยู่แล้ว เพื่อให้ลูกค้าที่ยังดีอยู่เป็นลูกค้าที่ดีต่อไป ขณะเดียวกันธนาคารได้จัดตั้งทีมติดตามทวงหนี้เพิ่ม นอกจากทีมสินเชื่อเดิมที่เคยทำหน้าที่นี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงลูกค้าผิดนัดชำระหนี้