นายฌอง ปิแอร์ เวอร์บิสท์ ผู้อำนวยการสำนักงานผู้แทนธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) กล่าวว่า เอดีบีคาดการณ์ว่าในปี 2552 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของประเทศไทยจะหดตัว 2%
และหากปัญหาการเมืองยังไม่คลี่คลายลง และเศรษฐกิจโลกยังไม่ดีขึ้น อาจจะหดตัวถึง 4-5% ซึ่งผลจากการหดตัวของเศรษฐกิจปี 2552 จะทำให้มีคนว่างงานเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 2 ล้านคน ปัญหาใหญ่ของไทยคือเรื่องการส่งออกที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากความต้องการของตลาดโลกลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศก็ลดลงเช่นกัน ทำให้คาดว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจะหดตัว
ด้านภาคการก่อสร้างคาดว่าจะหดตัว จากความไม่มั่นใจของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ และทางสถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
ขณะที่ภาคบริการจะได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงและการใช้จ่ายที่ลดลงของผู้บริโภค ส่วนภาคเกษตรผลผลิตจะเพิ่มขึ้น แต่ราคาขายลดลง ทั้งนี้ คาดว่า การส่งออกทั้งปี 2552 จะหดตัว 18% และการนำเข้าจะหดตัว 28% ดุลการค้าจะเกินดุล 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุล 8% ของจีดีพี ส่วนอัตราเงินเฟ้อในปี 2552 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 0.5% เนื่องจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรที่ลดลงจากปี 2551 แนวทางการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจของไทย ทางรัฐบาลจะต้องเร่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ประกาศไปแล้วให้ได้ผลอย่างแท้จริง และการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐจะต้องดีขึ้น โดยรัฐบาลต้องเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างรถไฟฟ้า ทางด่วน และถนนเพิ่มขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาเกิดความล่าช้าไปกว่า 3 ปี ผลจากความไม่มั่นคงทางการเมือง
สำหรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในปี 2553 น่าจะดีขึ้น โดยคาดว่าจะขยายตัวประมาณ 3% หากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวตามที่คาดไว้
และรัฐบาลมีการลงทุนเพิ่มขึ้นตามที่ประกาศ นอกจากนี้ เอดีบียังคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2552 ของประเทศเอเชียที่สำคัญคือสิงคโปร์-5%, มาเลเซีย-0.2%, ไต้หวัน-4%, เกาหลีใต้-3% ขณะที่จีนขยายตัว 7%, เวียดนาม 4.5%, ฟิลิปปินส์ 2.5% และอินโดนีเซีย 3.6%.