ตะลึงตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งเหว ผวา 2 ค่ายยักษ์รถยนต์มะกันล้มละลาย

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นวันที่ 30 มี.ค.ว่า

ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างรุนแรง หลังคณะทำงานด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ ของฝ่ายบริหารประธานาธิบดี บารัก โอบามา มีมติปฏิเสธแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ป (จีเอ็ม) และบริษัทไครสเลอร์ 

โดยหุ้นไทยปิดที่ 429.60 จุด ลดลง 11.21 จุด ทำนิวโลว์ในรอบกว่า 1 สัปดาห์ ระหว่างวันลงไปต่ำสุดที่ 426.44 จุด ตลอดทั้งวันมีมูลค่าการซื้อขาย 8,522 ล้านบาท หุ้นกลุ่มพลังงานและแบงก์ปรับตัวลงนำตลาด นายทองมกุฎ ทองใหญ่ กรรมการ ผู้อำนวยการบริษัทหลักทรัพย์ซิตี้ คอร์ป (ประเทศ ไทย) กล่าวว่า

นอกจากปัจจัยนอกประเทศที่กดดันการลงทุนแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังต้องเผชิญกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาทำลายบรรยากาศการลงทุนด้วย
และขณะนี้ยังไม่เห็นทางออกว่าการเมืองในประเทศจะสงบลงได้อย่างไรและใช้เวลานานเท่าไร ขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจนอกประเทศยังคงรุมเร้าเศรษฐกิจไทย 

ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดตลาดทำสถิติดิ่งลงมากที่สุดภายในวันเดียว ในรอบ 3 สัปดาห์

โดยดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดทรุดตัว 663.17 จุด หรือ 4.70% สู่ระดับ 13,456.33 จุด เช่นเดียวกับตลาดหุ้นสิงคโปร์ ดัชนีสเตรทไทม์ปิด 1,673.14 จุด ร่วง 72.52 จุด ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ร่วงลงต่ำกว่าระดับ 1,200 จุด มาปิดที่ 1,197.46 จุด ลดลง 40.05 จุด จากแรงขายหุ้นกลุ่มธนาคารและผู้ผลิตรถยนต์ ส่วนตลาดหุ้นโตเกียว ดัชนีนิเคอิปิดที่ 8,236.08 จุด ลดลง 390.89 จุด 

 ด้านตลาดหุ้นยุโรปต่างปรับตัวดิ่งลงอย่างหนักเช่นกัน ทั้งตลาดหุ้นลอนดอนของอังกฤษ ตลาดหุ้นฝรั่งเศส และเยอรมนี โดยหุ้นที่ปรับตัวลงหนักคือหุ้นกลุ่มยานยนต์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมทั้งหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังรัฐบาลกลางสเปนได้ เข้าฟื้นฟูกิจการของธนาคารในประเทศเป็นครั้งแรก นับจากเกิดวิกฤติการเงินโลก ซึ่งกระตุ้นความวิตกครั้งใหม่เกี่ยวกับวิกฤติการเงิน

ทั้งนี้ คณะทำงานเฉพาะกิจด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ของรัฐบาลสหรัฐฯมีมติคัดค้านแผนการปรับโครงสร้างของบริษัทจีเอ็มและไครสเลอร์ โดยระบุว่า

ผู้ผลิตรถยนต์เหล่านี้ไม่ได้เสนอแผนที่น่าเชื่อถือที่จะทำให้กิจการดำรงอยู่ต่อไปได้ โดยจีเอ็มและไครสเลอร์ว่าจ้างพนักงาน 160,000 คน ในสหรัฐฯ ขณะที่บริษัทผู้จำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ให้บริษัททั้ง 2 ว่าจ้างพนักงานมากกว่าตัวเลขดังกล่าว และการปล่อยให้จีเอ็มและไครสเลอร์ต้องล้มละลายลง จะสร้างความยากลำบากไปทั่ว ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯตกต่ำลงอีกและทำให้เกิดภาวะปั่นป่วนมากขึ้นในตลาดสินเชื่อระดับโลก 

ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของคณะทำงานเฉพาะกิจฯระบุว่า

การล้มละลายยังคงเป็นทางเลือกสำหรับบริษัททั้ง 2 แห่ง และแสดงความเห็นว่าไครสเลอร์ไม่สามารถดำเนินกิจการได้เพียงลำพัง ซึ่งนโยบายที่แข็งกร้าวของคณะทำงานชุดนี้ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สร้างความตกตะลึงให้แก่ฝ่ายบริหารของผู้ผลิตรถยนต์ทั้ง 2 รวมทั้งต่อนักลงทุนและเจ้าหนี้ของจีเอ็ม เพราะแทนที่จะอนุมัติตามข้อเสนอของจีเอ็มที่ขอเงินช่วยเหลือก้อนใหม่ 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ได้ให้เงินสนับสนุนการดำเนินงานของจีเอ็มเป็นเวลาแค่ 60 วัน รวมทั้งให้ซีอีโอจีเอ็มลาออกและกำลังเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการจีเอ็มในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

ส่วนไครสเลอร์ ซึ่งบริหารโดยเซอร์เบอรัส แคปิตอล แมเนจเมนต์ ได้ให้เวลา 30 วันในการทำข้อตกลงเป็นพันธมิตรกับบริษัทเฟียตของอิตาลีให้แล้วเสร็จ มิฉะนั้นรัฐบาลอาจตัดเงินช่วยเหลือ ซึ่งอาจทำให้บริษัทต้องขายทอดกิจการ 

นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า

เศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ประชาชนชะลอการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น จึงอยากให้สถาบันการเงินรัฐและเอกชนเร่งปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการโดยเร็ว เพื่อจะได้นำเงินกู้ไปเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจอยู่ได้ และหากไม่ปล่อยกู้จะทำให้เอ็นพีแอลเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการขาดเงินหมุนเวียนและไม่สามารถชำระหนี้ให้กับธนาคารได้ 

ส่วนการเสนอ พ.ร.ก.กู้เงินพิเศษ เป็นนโยบายฉุกเฉินของรัฐบาลที่จำเป็นต้องการเม็ดเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมาก

เพื่อให้เศรษฐกิจผ่านพ้นช่วงเลวร้ายไปได้ ซึ่งการใช้ พ.ร.ก.กู้เงินฉบับพิเศษจะส่งผลให้การขยายตัวของหนี้สาธารณะเพิ่มเป็น 60% ของจีดีพี เกินเพดานหนี้สาธารณะที่ตั้งไว้ 50% ของจีดีพี แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะภาวะปัจจุบันถือว่าไม่ปกติ นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแนวคิดตั้งกองทุนร่วมกับองค์กรส่วนท้องถิ่นและกลุ่มการเงินในท้องถิ่น เพื่อแก้ไขและบรรเทาปัญหาการว่างงาน โดยตั้งกองทุนคล้ายกองทุนประกันสังคมขึ้นมาช่วยเหลือแรงงานนอกระบบ ทั้งผู้ตกงานและยังไม่ตกงาน คาดว่าอีก 1 เดือน จะเสนอให้ ครม.พิจารณาเพื่อให้มีผลบังคับใช้สิ้นปีนี้.


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์