วันนี้ (23 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า
ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาที่จะมีขึ้นในวันอังคารที่ 24 มี.ค.นี้เวลา 13.30 น. มีวาระที่น่าสนใจคือ เรื่องด่วน กรอบการเจรจากู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญคือ กำหนดกรอบวงเงินที่จะขอกู้ประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ระยะเวลาการกู้เฉลี่ย 7-10 ปี โดยจะขอกู้จากธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (ไจกา-JICA)
โดย ครม.ให้เหตุผลในการขอกู้เงินว่า
เพื่อเป็นไปตามนโยบายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ประกอบกับผลกระทบภาวะเศรษฐกิจโลกที่หดตัว ทำให้ปริมาณการส่งออกสินค้าติดลบ ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2551 เป็นต้นมา โดยเฉพาะเดือน ม.ค. 2552 ขยายตัวติลบร้อยละ 26 ถือว่าต่ำสุดตั้งแต่ปี 2541 เป็นต้นมา ส่งผลให้การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนลดลงตาม ส่งผลต่อภาวการณ์จ้างงานในประเทศ ประกอบกับเศรษฐกิจครึ่งปีแรกอาจทำให้ขยายตัวติดลบร้อยละ 1 หรือไม่ขยายตัวเลย ครม.จึงมีมติกำหนดนโยบายและมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อขยายสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ผู้ส่งออกและผู้ประกอบการภาคการผลิตอื่นๆ รวมถึงการให้การค้ำประกันสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินของรัฐ
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องด่วนซึ่งที่ประชุมรัฐสภาจะต้องพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกหนึ่งเรื่องคือ ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนว่า
ด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น และร่างสัญญาเงินกู้ (ครม.เป็นผู้เสนอ) ซึ่งมีสาระสำคัญคือ รัฐบาลญี่ปุ่นตกลงที่จะให้กระทรวงการคลังกู้เงิน โดยผ่านองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) จำนวน 63,018 ล้านเยน สำหรับโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต ของการรถไฟแห่งประเทศไทย อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.4 ต่อปี ยกเว้นอัตราดอกเบี้ยสำหรับส่วนของการจ้างที่ปรึกษาอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี โดยมีค่าธรรมเนียมผูกพันเงินกู้ร้อยละ 0.1 ต่อปี ของวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกจ่าย ระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ 25 ปี รวมระยะปลอดหนี้ 7 ปี เบิกจ่ายเงินกู้ภายใน 7 ปี 3 เดือน
ประชุมร่วม2สภา24มี.ค. ถกกรอบเงินกู้7หมื่นล้าน
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวอื่นๆ ประชุมร่วม2สภา24มี.ค. ถกกรอบเงินกู้7หมื่นล้าน
เครดิต : ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!