น.ส.บรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้า กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เปิดเผยว่า การส่งออกไปอังกฤษปีนี้จะเน้นส่งเสริมสินค้าและบริการประเภทอาหารมากขึ้นโดยเฉพาะอาหารที่เกี่ยวข้องกับสมุนไพร เนื่องจากขณะนี้ชาวอังกฤษกำลังนิยมบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะสมุนไพรไทย เพราะป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ และช่วยลดความอ้วนได้ รวมทั้งจะเร่งส่งเสริมการขยายสาขาร้านอาหารไทยเพิ่มจากปัจจุบัน 1,700 ร้าน อยู่ในลอนดอน 600 ร้าน
“กระทรวงฯ กำลังหาพันธมิตรโดยจะสร้างบริการใหม่ ๆ ขึ้น เช่น สอนทำอาหาร ทั้งแบบที่สอนในอาหารเพื่อเพิ่มมูลค่า หรืออาจสอนในสถาบันทางด้านวิชาชีพ เพราะชาวอังกฤษสนใจทำอาหารไทยค่อนข้างมาก และเป็นการส่งเสริมให้ครัวไทยก้าวไปสู่ครัวโลกได้จริง โดยไทยยังคงเป็นไม่กี่ประเทศในโลกที่เป็นผู้ส่งออกอาหารอย่างแท้จริง แต่ปัญหาใหญ่ขณะนี้คือเรื่องภาษาในการสื่อสาร ที่ไทยต้องเร่งพัฒนาคนควบคู่ไป”
แม้ว่าเศรษฐกิจอังกฤษอาจเติบโตลดลง-3% ถึง-2.8% แต่เชื่อว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าไทยสู่อังกฤษใน ปีนี้จะเติบโตได้ระดับ 3.5%
ขณะที่การส่งออกไปยังสหภาพยุโรป (อียู) จะเติบโตได้ 2% เนื่องจากสินค้าที่ไทยส่งไปอังกฤษและอียูส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตทั้งอาหาร เสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ส่วนสินค้าที่อาจได้รับผลกระทบ เช่น ส่วนประกอบรถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แผงวงจรไฟฟ้า เป็นต้น
นอกจากนี้ต้องการให้ภาครัฐผลักดันนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลกเพิ่ม ด้วยการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของอาหารไทย
เพื่อช่วยสร้างมูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการให้กับประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกวัตถุดิบอาหารไทย รวมถึงเครื่องปรุง ข้าว และยังช่วยสร้างรายได้ผ่านรูปแบบการจ้างพ่อครัว แม่ครัวจากไทยเข้ามาทำอาหารหรือเข้ามาสอนทำอาหาร น.ส.บรรจงจิตต์ กล่าวต่อว่า นอกจากสินค้ากลุ่มอาหาร ธุรกิจบริการ สปา เอ็นเตอร์ เทนเมนท์ ยังเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับความสนใจ รวมถึงธุรกิจภาพยนตร์ ซึ่งหลายเรื่องที่ชาวต่างชาติค่อนข้างสนใจที่จะซื้อเนื้อเรื่อง เพื่อถ่ายทำใหม่ รวมถึงซื้อลิขสิทธิ์เพื่อนำไปขายต่อ ขณะที่ฝีมือในการสร้างหนังแอนิเมชั่นของคนไทยถือว่าเป็นที่ยอมรับของสากล โดยมีบุคลากรที่มีฝีมือค่อนข้างมากขาดเพียงโอกาสในการแสดงผลงาน
“อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือ ไทยต้องเร่งสร้างตราสินค้า (แบรนด์) เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า เพราะที่ผ่านมาสินค้าไทยจำนวนมากอยู่ในฐานะเพียงผู้ผลิตสินค้าแทน หากในอนาคตสินค้าไทยสามารถสร้างแบรนด์ตัวเองให้เป็นที่รู้จักได้มากขึ้น เชื่อว่าน่าจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้นด้วย”.